ทริปปากีสถาน คาราโครัมไฮเวย์ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สวรรค์บนดินกลางหุบเขาหิมะ 11 วัน

สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม ภูเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ทะเลสาบสีมรกต ธารน้ำแข็งโบราณ ตื่นตาตื่นใจกับสีสันสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่มีรูปร่างสวยงามแปลกตา เชิญเพื่่อนๆนักเดินทางผู้หลงไหลกับธรรมชาติดิบๆที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์บนดิน ไปร่วมสัมผัสกับความแปลกตาน่าค้นหากับเราสิคะ แล้วท่านจะไม่ผิดหวัง

คาราโครัมไฮเวย์ เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างประเทศจีนกับประเทศปากีสถาน เป็นระยะทางยาวจนต้องบันทึกในประวัติศาสตร์โลก จากเมืองแอบบอตดาบัดของปากีสถานผ่านภูมิภาคตอนเหนือของประเทศจนถึงคุนจีราฟพาส ซึ่งเป็นพาสชายแดนระหว่างประเทศที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย (สูง 4700 เมตรจากน้ำทะเล) แล้วจึงเชื่อมต่อออกไปอีกจนกระทั่งถึงเมืองคัชการ์ของประเทศจีน รวมแล้วมีความยาวประมาณ 1300 กิโลเมตร โดยใช้วิศวกรและกำลังคนบางส่วนจากประเทศจีนร่วมมือช่วยเหลือกันกับแรงงานฝั่งประเทศปากีสถาน ระหว่างทางท่านจะได้พบทัศนียภาพที่สวยงามราวกับสวรรค์สรรสร้าง ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ต้องมาสัมผัสด้วยตาท่านเอง

กำหนดการเดินทาง 21-31 ตค.59
โปรแกรมการเดินทาง
วันแรก : กรุงเทพ-อิสลามาบัด
17.30 น.พบกันที่สุวรรณภูมิ เช็คอินน์ โหลดสัมภาระขึ้นเครื่องกับการบินไทย ไฟร้ท TG 349
19.00 น.ได้เวลาบินสู่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 10 นาที
22.10 น.ตามเวลาท้องถิ่นปากีสถาน (ช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมง) เดินทางถึงสนามบิน Benasir Bhutto ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระ นั่งรถสู่ที่พัก G-C Hotel ที่เมือง Rawalpindi ซึ่งเป็นเมืองแฝดของกรุงอิสลามาบัส

วันที่ 2 : Isalamabad – Besham (275 km.) 8 hours.
หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่เมือง Besham ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เป็นทางผ่านสู่เส้น Karakoram Hiway แวะที่เมือง Taxila พาท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Taxila ซึ่งได้รวบรวมโบราณวัตถุต่างๆของเมือง Taxila ในสมัยพุทธกาลเชื่อกันว่าพระพุทธรูปกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองนี้ ตักศิลาก็ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวหลักของปากีสถาน ในอดีตเคยเป็นศูนย์การเรียนรู้ของศาสนาพุทธ ซึ่งนับเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก นอกจากนี้ ยังมีซากเมืองโบราณตักศิลา ที่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เช่นเจดีย์ Dharmarjika ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช เมืองตักศิลาจึงเป็นเมืองที่ยังทรงคุณค่าอย่างยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนรุ่นหลัง จนได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก
นั่งรถต่อ ผ่านเมือง Abbottabad ซึ่งจะเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางคาราโครัมไฮเวย์ ผ่ระหว่างทางจะตื่นตาตื่นใจกับรถบรรทุกมากมายที่บรรจงเขียนลวดลายอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปากีสถาน
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงที่ Chatar Motel Chartar Plain ชมทัศนียภาพสวยๆของนาข้าวรอบๆ หลังจากนั้นออกเดินทางกันต่อสู่เมือง Besham
เย็น : ถึงเมือง Besham เข้าที่พักที่โรงแรม Besham PTDC ทานมื้อเย็นด้วยกันที่โรงแรม แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน


วันที่ 3 : Besham – Gilgit – Gakuch
เช้า : ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นเช็คเอ้าท์ นำท่านเดินทางสู่เมือง GILGIT ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาคาราโครัม และจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมในอดีต และเส้นทางหลวงคาราโครัม ไฮเวย์ในปัจจุบัน และเคยใช้เป็นเส้นทางการเผยแผ่ศาสนาพุทธจากอินเดียสู่ดินแดนต่างๆ ในเอเชีย ทำให้พบหลักฐานทางพุทธศาสนาในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก เมือง Gilgit ถือเป็น Gateway สู่สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางภาคเหนือของปากีสถาน รถจะค่อยๆไต่ภูเขาไปตามถนนที่คดเคี้ยวผ่านโตรกเขา ด้านซ้ายมือจะเป็นเทือกเขา Hindu Kush ส่วนด้านขวามือก็จะเป็นเทือกเขาหิมาลัย  ผ่านเส้นทางที่สวยงามของภูเขาและหุบเขาต่างๆ หยุดถ่ายรูปกับยอดเขา NANGA PARBAT ที่สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก มีความสูงถึง 8125 เมตร ได้ชื่อว่า The Killer Mountain เพราะเป็นยอดเขาที่ปีนยากและอันตรายที่สุด มีนักปีนเขาหลายคนที่ไปจบชีวิตที่นี่ นั่งรถไปอีกหน่อยก็จอดให้ถ่ายรูปกับจุดเชื่อมต่อระหว่าง 3 เทือกเขาสำคัญของโลก Karakoram, Hindu Kush และ Himalaya  ซึ่งล้วนเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดของโลก เป็นเป็นจุดที่รวมยอดเขาที่สูงระดับโลกไว้ถึง 3 ยอด  คือยอด  NANGA PARBAT ที่สูงถึง 8125 เมตร ยอดเขา RAKAPOSHI สูง 7790 เมตรและยอดเขา BATURA สูง 7785 เมตร ช่วงนี้รถจะวิ่งขนานไปกับแม่น้ำกิลกิตแทน เพราะแม่น้ำสินธุได้แยกไปทางเมือง Skardu ก่อนหน้านี้แล้ว หยุดถ่ายรูปริมแม่น้ำ Gilgit ซึ่งมีน้ำเป็นสีเทอร์คอยซ์สวยงาม ชมรูปสลักพระพุทธเจ้าบนหน้าผา (The Ancient Buddhist Rock Carving) ที่หมู่บ้าน Kargah ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง Gilgit ออกไป 5 กม. ชมมัสยิดใหญ่ประจำเหมือง Gilgit หยุดถ่ายรูปกับสะพานแขวนแห่งเมืองกิลกิต (Gilgit Suspension Bridge) ซึ่งใช้ข้ามแม่น้ำกิลกิตได้คนและรถมอเตอร์ไซต์ แม่น้ำกิลกิตเป็นสาขาของแม่น้ำสินธุ มีต้นกำเนิดมากจากทะเลสาบ Shandur บนเทือกเขา Hindu Kush ช่วงต้นๆ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Ghizar River แต่พอผ่านเมือง Gilgit ไปแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น Gilgit River
บ่าย : ทานมื้อเที่ยงกันที่เมือง Gilgit หลังจากนั้นนั่งรถต่ออีก 2 ชั่วโมงสู่เมือง Gahkuch
เย็น : เข้าพักที่ Green Palace hotel, Gakuch

วันที่ 4 : Gakuch – Yasin – Phandar 
หลังอาหารเช้า นั่งรถไปสู่หุบเขา Ghizer ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขา Hindu Kush เส้นทางจะขนานไปกับแม่น้ำ Ghizer ที่คดเคี้ยวไปมา แต่ละโค้งของแม่น้ำ สวยงามไปด้วยวิวของยอดเขาสีเทาอมฟ้า มีสีขาวของหิมะอยู่บนยอด หุบเขา Ghizer เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยโตรกผา ลำธาร มีแม่น้ำ Ghizer ที่มีน้ำสีเขียวใสแจ๋วไหลผ่าน บางช่วงแม่น้ำก็ขยายกว้างเป็นทะเลสาบ ซึ่งมีอยู่หลายแห่งมาก จนได้รับสมญานามว่า The land of Lakes ทะเลสาบมีน้ำสีเขียวเทอร์คอยซ์ ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยพืชเมืองหนาวเช่น แอ๊ปเปิ้ล เชอรี่ แอ็ปปริคอต วอลนัท ระหว่างฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน พืชพรรณเหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่ง ชมพู ขาว สวยงาม แต่ถ้าเป็นช่วง Autumn ที่เราไป สีสันก็จะเปลี่ยนไปตามสีของใบไม้ ต้นป๊อปลาร์ใบก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต้นแอ๊ปปริคอตจะเป็นสีส้ม-แดง ดูงดงามละลานตาขนาบกับแม่น้ำสีสวยใส ทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์และเทือกเขา Hindu Kush งดงามจนยากจะบรรรยาย ระหว่างทางจะเห็นวิถีชาวบ้านที่มีอาชีพทำไร่ทำสวน โดยเฉพาะแอ๊ปเปิ้ล พลับ แอ๊ปปริคอต ซึ่งเป็นผลไม้ประจำถิ่นของที่นั่น พอเลยจากหมู่บ้าน Gupis มาหน่อยเดียวก็จะเป็นทางแยกไป Yasin และ Phandar ถ้าขับตรงไปก็จะไป Phandar แต่เราเลี้ยวขวาขึ้นสะพานไปยังหมู่บ้านยาซิน เราจะไปเที่ยวหุบเขา Yasin กันก่อน
Yasin เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนเทือกเขา Hindu Kush มีบ้านเรือนปลูกอยู่บนไหล่เขาริมทาง มองลงไปจะเห็นพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นป๊อปลาร์ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยงาม
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงกันที่หมู่บ้าน Yasin หลังจากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวทะเลสาบ Phander ซึ่งเป็นทะเลสาบกลางหุบเขาที่มีน้ำสีเขียวมรกตใสนิ่งราวกระจก มองเห็นภาพสะท้อนได้อย่างสวยงาม จนได้ชื่อว่า Mirror Lake เราจะแวะถ่ายรูปกับวิวสวยๆที่จุดชมวิว ที่หุบเขา Phander ซึ่งมีแม่น้ำ Gilgit ไหลผ่านระหว่างหุบเขา เป็นแหล่งที่มีปลาเทร้าต์ชุกชุมอีกแห่งหนึ่งของปากีสถาน
เย็น :  เข้าพักที่ PTDC Hotel Khalti lake ที่เมือง Gupis

วันที่ 5 : Gupis – Hunza (210 km)
หลังอาหารเช้า ออกไปชม Khalti Lake ซึ่งอยู่หน้าโรงแรมที่เราพักเมื่อคืน เป็นทะเลสาบสีฟ้าเทอร์คอยซ์งดงาม ช่วงเช้าๆน้ำจะนิ่งใสเหมือนกระจก ทะเลสาบนี้เกิดจากหินถล่มลงมาก กลายเป็นเขื่อนธรรมชาติ ปิดกั้นแม่น้ำกลายเป็นทะเลสาบ แล้ว Khalti Lake ยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตปลาเทร้าที่โด่งดัง แต่ช่วงที่เราไปเป็นฤดูที่ปลาวางไข่ ทางการห้ามจับปลา จากนั้นก็จะนั่งรถกลับมาทางเส้นทาง เดิมที่เราผ่านมาเมื่อวาน ผ่านเมืองหมู่บ้าน Gupis และไปแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวเมือง Gakuch
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงที่เมือง Gakuch แล้วออกเดินทางต่อ จากเมือง Gukuch เลี้ยวขวาไปตามแม่น้ำ Naltar เพื่อไปเมือง Hunza แวะเที่ยว Naltar Valley หมู่บ้าน Naltar แบ่งเป็น Upper Naltar และ Lower Naltar ใน Naltar จะมีทุ่งหญ้าอัลไพน์และป่าสน มีสกีรีสอร์ตของกองทัพอากาศปากีสถาน รถจะวิ่งข้ามสะพานเพื่อมายังถนนคาราโครัมไฮเวย์ ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำฮุนซ่า เข้าสู่หุบเขา Hunza หรือรู้จักกันว่าเป็นหลังคาของโลก
Hunza มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Karimabad  เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเมือง Hunza-Nagar มีแม่น้ำ Hunza เป็นเส้นแบ่งหุบเขาออกเป็นสองส่วน คือ Hunza Valley ซึ่งอยู่ด้านเหนือของแม่น้ำ และ Nagar Valley จะอยู่ทางใต้ของแม่น้ำฮุนซ่า
เมือง Hunza มีชื่อเป็นทางการว่า เมือง Karimabad เป็นเมืองหลักในหุบเขา Hunza ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ประชากรมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เพราะตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม ภูมิประเทศตั้งอยู่บนที่สูงที่มีโอโซนในปริมาณสูง เป็นผลมาจากความมหัศจรรย์แห่งเทือกเขาหิมาลัย ทำให้อากาศมีความบริสุทธ์เป็นอย่างมาก เป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์กลางเทือกเขาคาราโครัม
หุบเขา Hunza มีพื้นที่ 7900 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาหิมะที่สวยงามถึง 11 ยอด ในฤดูใบไม้ร่วง  ภายในหุบเขาจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันใของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี สวยงามจนแทบลืมหายใจ
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือป้อมโบราณ Baltit and Altit สามารถมองเห็นยอดเขาสำคัญได้แก่ Ultar Sar, Rakaposhi, Bojahagur Duanasir II,  Ghenta Peak, Hunza Peak, Passu Peak, Diran Peak และ Bublimotin (Ladyfinger Peak)
ป้อม Baltit ซึ่งมีอายุกว่า 700 ปี ผ่านการบูรณะมาหลายครั้งเป็นป้อมที่สร้างอยู่บนทำเลที่สวยงาม ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบนประมาณ 10 นาที สามารถมองเห็นวิวของหุบเขา Hunza ในมุม 360 องศา ปัจจุบัน Baltit Fort ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งดำเนินการโดย Baltit Heritage Trust นอกจากนั้น Baltit Fort ยังอยู่ในรายชื่อเตรียมพิจารณาให้เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโก
ส่วนป้อม Altit เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเมือง Gilgit-Baliststan มีอายุถึง 900 ปี ตั้งอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำ Hunza  มีหอคอยสูงสูดบนป้อมเรียกว่า Shikari tower มองลงมาเห็นหมู่บ้าน Karimabad เรียงรายตามเนินเขาเป็นภาพที่สวยงามมาก
พาไปเยี่ยมชมย่านการค้าของเมือง Karimabad ชมวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่อยู่อย่างพอเพียง ปล่อยให้ช๊อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย
เย็น : พักที่ Hill Top Hotel เมือง Hunza

วันที่ 6  : Hunza – Passu (50 km)
หลังอาหารเช้าออกเดินทางสู่เมืองไปเมือง Passu โดยการนั่งรถออกจากเมือง Hunza ไปยังเมือง Passu โดยผ่านอุโมงค์ยาว 7 กิโลเมตรที่ทางการจีนสร้างขึ้นเพื่อผ่านทะเลสสาบ Attabad ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ที่ตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้าน เกิดเนื่องจากแผ่นดินถล่มเมื่อเดือนมกราคม 2553 และทำให้เกิดเขื่อนและทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าทะเลสาบ Attabad ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน Attabad เสียชีวิตทันที 20 คน และจำนวนที่เหลือกว่า 6 พันคนที่อยู่ต้นแม่น้ำต้องอพยพหนีน้ำในทะเสสาบที่สูงขึ้นเรื่อยๆและถูกตัดขาดจากแผ่นดิน นอกจากนั้นดินถล่มยังปิดทับถนนคาราโครัม ทำให้เส้นทางสัญจรและการค้าที่เชื่อมระหว่างปากีสถานกับจีนถูกตัดขาด การเดินทางขึ้นเหนือไปจีนก่อนหน้านี้  ต้องใช้ทางเรือเท่านั้น  ทางจีนได้ช่วยสร้างอุโมงค์ลอดเขาเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางคาราโครัมใหม่ขึ้นมา เราจึงสามารถนั่งรถไปเมือง Passu ได้เลยโดยไม่ต้องลงเรืออีกต่อไป จะพาไปจุดชมวิวทะเลสาบ Attabad ชมยอดเขาฟันเรื่อยที่โด่งดังของเมือง Passu (Tupopdan หรือ Passu Cathedral สูง 6106 เมตร) พาไปชม Passu Glacier หรือเรียกชื่ออีกอย่างว่าธารน้ำแข็งสีขาว ซึ่งต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมง
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารริมทะเลสาบ Borit ระหว่างที่รออาหาร ออกไปถ่ายรูปทะเลสาบ Borit
หลังอาหารเที่ยง พาไปชมสะพานแขวน (Passu Suspension Bridge) ที่สร้างเพื่อข้ามแม่น้ำ Hunza
หลังจากนั้นพาไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน Gulmit ชมวิถีชาวบ้านเก่าแก่ ชมพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ชมการทอพรมจากฝีมือชาวบ้าน ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถต่อไปเมือง Passu เป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี เละเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในเส้นทางสายคาราโครัมไฮเวย์ อยู่บนเส้นทางสายไหมตั้งแต่โบราน ห่างจากเมือง Gulmit 15 กม. และห่างจากเมือง Gilgit 150 กม.
เย็น : เข้าที่พักที่ Ambassador Hotel Passu

วันที่ 7 : Passu-Khunjerab National Park (200 km)-Hunza
เช้า : ทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวภูเขาฟันเลื่อย ซึ่งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม ล้อมรอบด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี เหลือง ส้ม แดง    Passu เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของปากีสถาน  มีอายุเก่าแก่มากกว่า 700 ปี อยู่บนเส้นทางสายไหมตั้งแต่โบราณ อยู่ห่างจากเมืองกิลกิตมาทางเหนือประมาณ 150 กม. และอยู่ห่างหมู่บ้านกุลมิทประมาณ 15 กม. ไฮไลท์ของหมู่บ้าน Passu ก็คือธารน้ำแข็ง Passu และยอดเขาฟันเลื่อยหรือยอดเขารูปกรวย  Passu cathedral peak สูง 6500 เมตร
หลังอาหาร นั่งรถไปชมช่องเขา Khunjerab ซึ่งมีความสูง 4730 เส้นทางหลวงลอยฟ้าคาราโครัม ไฮเวย์และเป็นจุดที่สูงที่สุดในโลกของเส้นทางหลวงนี้ ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างปากีสถานและจีน ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Khunjerab ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์สงวนหายาก ระหว่างทาง เราอาจจะได้เจอแกะ Ibex และตัว Marmot
เที่ยง : แวะทานมื้อเที่ยงที่เมือง Gulmit แล้วเดินทางต่อ แวะถ่ายรูปกับเทือกเขา Passu แล้วเดินทางกลับไปหมู่บ้าน Hunza แวะถ่ายรูปยอดเขา Rakaposhi ที่สูง 6606 เมตรที่จุดชมวิว ระหว่างทาง
เย็น : เข้าที่พัก Hotel Eagle’s Nest Hunza หรือรังพญานกอินทรี ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม  มองลงมาด้านล่างมองเห็นเมือง Kalimabad ได้ชัดเจน

วันที่ 8 : Hunza – Hopper Valley & Gilgit (150 KM.)
ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาด้านหลังของโรงแรม สามารถมองเห็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงคือ Lady finger (Bublimotin: 6,000m) หรือ ยอดดัชนีนาง เพราะมีรูปร่างเรียวแหลมเหมือนนิ้วมือ หลังจากนั้นลงมาทานมื้อเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารเช้าเราออกเดินทาง ข้ามแม่น้ำ Hunza ไปอีกฟากหนึ่ง สู่หุบเขา Nagar ขึ้นไปที่หุบเขา Hopper ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทาง จะได้เห็นธารน้ำแข็งที่ไหลเลื่อนลงมาที่ถนน
เมืองนี้ประชากรจะชาวมุสลิมนิกาย Ismaili Shia
ชมยอดเขา  Rakaposhi ที่มีความสูงระดับ 7788 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถึงแม้ไม่ใช่ยอดสูงระดับกว่าแปดพันเมตรเหมือน Nanga Parbat หรือ K2 แต่เนื่องจากมีฐานที่ยาวกว่า 16 KM.ขนานไปกับ Karakorum High Way มียอดที่สวยงามมองเห็นแต่ไกล จึงทำให้ยอดเขา Rakaposhi ได้รับความนิยมกว่ายอด Nanga Parbat
ทานมื้อเที่ยงที่จุดชมธารน้ำแข็ง Rakaposhi  ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Gilgit 80 KM.
เย็น : เข้าที่พัก Madina Hotel, Gilgit ทานมื้อเย็นด้วยกันที่โรงแรม คืนนี้เราต้องเตรียม แยกเสื้อผ้า 1-2 ชุดใส่เป้เล็กๆ เพื่อจะไปพักค้างคืนที่  Fairy Meadow ในวันพรุ่งนี้ 1 คืน

วันที่ 9 : Gilgit-Fairy Meadow, Nanga Parbat (90 KM)
หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่ Fairy Meadow โดยนั่งรถประมาณ 1 ชม.ไปทางใต้ของเมือง Gilgit แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถ Local Jeep ที่สะพาน Raikot เพื่อเดินทางสู่หมู่บ้าน Tato อีก 12 KM.ใช้เวลาอีก 1 ชม.ชมภาพแกะสลักพระพุทธเจ้าบนแผ่นหินตั้งแต่สมัยโบราณ (The ancient buddha rock carvings) ที่ Raikot Bridge
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงกันที่หมู่บ้าน Tato หลังจากนั้นก็ออกเดินเท้าด้วยระยะทาง 5 km.สู่ Fairy Meadow ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.     ถ้าไม่อยากเดินก็มีม้าไว้คอยบริการ ค่าขี่ม้า ไป-กลับ 2000 รูปี ถ้าขึ้นขาเดียวประมาณ 1500 รูปี
Fairy Meadows ได้รับการเรียกชื่อว่า ทุ่งนางฟ้า เป็นทุ่งหญ้าที่ล้อมรอบป่า ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3300 m.จากระดับน้ำทะเล มีธารน้ำแข็ง Raikot ที่สวยงามอยู่ข้างๆ เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการ trekking สู่ยอดเขา Nanga Parbat :ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก (สูง 8,126เมตร)  เและถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ.1995
Nanga Parbat แปลว่ายอดเขาเปลือยแต่เรียกกันว่า Killing mountain หรือยอดเขากินเลือด เพราะเป็นยอดเขาที่มีอันตรายที่สุดในบรรดายอดเขาที่สูงกว่าแปดพันเมตรขึ้นไปทั้ง 14 ยอดที่นักปีนเขาเคยพิชิตมา ประมาณบ่ายสองเศษก็น่าถึงที่พัก Raikot Sarai Huts เก็บสัมภาระแล้วเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆทุ่งหญ้าแสนสวย ชมวิวของธารน้ำแข็ง Rakaposhi ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าที่พัก

วันที่ 10 : Fairy Meadows – Naran (200 km.)
หลังอาหารเช้า เดินทางลงจาก Fairy Meadows กลับมาขึ้นรถจี๊บที่ Tato
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงกันที่ Tato แล้วไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ที่ Raikot Bridge
ออกเดินทางผ่านช่องเขา Babusar Pass (3700 m.) สู่เมือง Naran ผ่านชมชนในบนไหล่เขาที่ต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บด้วยแรงลมในฤดูหนาว เนื่องจากเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา หันหน้ารับลมเต็มๆ มีอากาศที่หนาวเย็นมากจึงทำให้ความเป็นอยู่ลำบาก ต้นไม้ระหว่างทางจะถูกตัดจนหมด  เป็นเส้นทางทีรถจิ๊บสามารถผ่านได้  เป็นเส้นทางลัดสู่เมือง Besham ที่มีระยะทางสั้นกว่าทางไป Chilas มากถึง 2 ชม.เศษ
เย็น : พักค้างคืนที่ Rayal Hotel เมือง Naran

วันที่ 11 : Naran-Islamabat (200 km.)
หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่เมือง Islamabad ผ่านพิพิธภัณฑ์ Taxila แวะชมมัสยิด Faisal ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในปากีสถานและเคยเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน พาไปชมเมือง Islamabad และเมือง Rawalpindi
ทานมื้อค่ำ ที่เมือง Rawalpindi ก่อนเดินทางไปสนามบินเบนาซี บุตโต
21.30 น.: เช็คอินน์ โหลดสัมภาะ ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แล้วไปรอขึ้นเครื่อง
23.35 น.: บินสู่สุวรรณภูมิด้วยเที่ยวบิน TG350 ใช้เวลาบิน 4 ชม.45 นาที
06.20 น.: ถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ ผ่านพิธีการทางตม.รับสัมภาระแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน

อัตราค่าทริป ท่านละ 51500 บาท
อัตรานี้รวม
• ค่าที่พักในปากีสถาน 10 คืน โรงแรมสองดาวบ้าง สามดาวบ้าง ห้องละ 2-3 ท่าน
• ค่าอาหารและน้ำดื่ม วันละ 3 มื้อ รวมผลไม้ ชาและขนมขบเคี้ยวต่างๆ
• ค่าวีซ่าปากีสถาน
• ค่ารถรับส่งตลอดทริปพร้อมคนขับประสบการณ์สูง
• ค่าจ้างไกด์ท้องถิ่นปากีสถาน  1 คน
• ค่าจ้างหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย 1 คน
• ค่าธรรมเนียมค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ
• ค่าทำประกันภัยการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท

อัตรานี้ไม่รวม
• ค่าตั๋วเครื่องบิน การบินไทย ไป-กลับ กรุงเทพ-อิสลามาบัด (ค่าตั๋วประมาณ 17500-25000 บาท)
• ค่าซักรีดต่างๆ
• ค่าโทรศัพท์ทางไกล
• ค่าทิปไกด์-คนขับรถ (เราแชร์กันให้ก็ได้ค่ะ)
• ค่าขี่ม้า หรือขี่อูฐ

ข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่า
• Passport ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือนนับจากวันเดินทาง และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า (ถ้ามีอายุน้อยกว่า 6 เดือน กรุณาไปทำใหม่)
• รูปถ่ายสี ขนาด 1.5 นิ้ว หรือ 2 นิ้วจำนวน 2 ใบ
• สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
• สำเนาบัตรประชาชน 1 แผ่น
• จดหมายรับรองการทำงาน (เป็นภาษาอังกฤษ)
• จดหมายรับรองการเงินจากธนาคาร /ถ่ายสมุดเงินฝากออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือน

สนใจร่วมทริป กรุณส่งหน้าพาสปอร์ตมาเพื่อจองตั๋ว TG ไว้ก่อน ยังไม่ต้องโอนเงิน รอเอเย่นยืนยัน ถ้าตั๋วโปร TG ออกจะแจ้งให้ลูกค้าทราบอีกที เพื่อเป็นการตัดสินใจว่าจะจองหรือไม่ ถ้าท่านยืนยันร่วมทริป เราจะแจ้งให้ท่านโอนเงินค่าตั๋วมาให้ค่ะ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณศิริพร เบอร์โทร : 092-4341166 หรือ 081-8183286
อีเมลล์ : s_pond2010@hotmail.com       ไลน์ ID : sk_pond   ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ : 11/06268

HiT & HoT Tour Limited Partnership                                    www. easy-on-tour.com