ทริปนี้จัดขึ้นระหว่าง 11-27 ต.ค.56
สมาชิกทั้งหมด 10 คน รวมทั้งข้าพเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย
เส้นทางที่ตั้งใจจะไปเทรคกิ้งคือ : Gokyo – Chola Pass – Kala Patthar – EBC ระยะเวลาทั้งหมดรวม 17 วัน เริ่มจากเมืองไทย ออกเดินทางด้วยสายการบินรักคุณเท่าฟ้า
การบินไทย ไฟท์  TG319  eกรุงเทพ-กาฐมาณฑุ
ออกจากสวรรณภูมิเวลา 10.15 น. ไปถึงกรุงกาฐมาณฑุเวลา 12.25 น.

วันแรกเป็นการเที่ยวชมวัด ชมพระราชวังโบรานต่างๆ ตามโปรแกรมปกติ ขอข้ามไปนะคะ มาเริ่มเรื่องตอนที่พวกเรานั่งเครื่องไปลุคล่า แล้วเริ่มเทรคกิ้งเลย
12 OCT’13 : KTM-LUKLA-PHAKDING : เอเยนซี่จองตั๋วไปไปลุคลาให้เรา ใช้ Tara Airline ได้ไฟร้ทเวลา 10.00 น.แต่กว่าเราจะได้บินจริงๆ ก็เกือบเที่ยง เนื่องจากสภาพอากาศไม่อำนวย ท้องฟ้าที่มีเมฆมาก และกระแสลมระหว่างทางแรง ทำให้ทางสนามบินต้องรอให้สภาพอากาศดีขึ้น จึงปล่อยให้เครื่องเทคออฟได้ เรานั่งเครื่องบินขนาดเล็ก 19 ที่นั่งใช้เวลาบินประมาณ 25 นาที
เราไปถึงสนามบินเทนซิง-ฮิลลารี่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก เพราะเป็นสนามบินที่อยู่ในหุบเขา มีรันเวย์ที่ยาวแค่460 เมตรและกว้างแค่ 20 เมตร สนามบินนี้อยู่ในเมืองลุคล่า เราไปถึงตอนเที่ยงกว่าๆ ลูกหาบจำนวน 6 คนไปรอรับสัมภาระในสนามบินอยู่แล้ว ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี เราเข้าไปสั่งอาหารเที่ยงทานกันที่โรงแรม THE NEST ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ติดรั้วสนามบินเลย หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เริ่มออกเดินกันประมาณบ่ายโมงครึ่ง เส้นทางเดินวันแรกค่อนข้างง่าย ส่วนมากเป็นทางราบ เดินผ่านป่าและไร่นาของชาวบ้าน ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ วิวข้างทางสวยงามอากาศเย็นสบายไม่ถึงกับหนาว แต่วันนี้ฟ้าไม่ค่อยใส มีเมฆมาก มองไม่เห็นแสงแดด ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวย เราไปถึงที่พัก Beer Garden ที่หมู่บ้าน Phakding ประมาณเกือบ 1 ทุ่ม อากาศเริ่มหนาว ที่โรงแรมนี้เราต้องจ่ายค่าอาบน้ำร้อนคนละ 250 รูปีแต่ถ้าเป็นน้ำเย็นอาบฟรี ทายซิว่าใครอาบน้ำบ้าง แต่ที่แน่ๆ เราอาบน้ำเย็นจ้า เพราะเพิ่งเดินถึง ร่างกายยังอุ่นๆ รู้สึกสดชื่นมากตอนกลางคืนก็ขึ้นไปทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม เจ้าของโรงแรมเห็นหน้าก็ทักทายเลย ยูเคยมาพักที่นี่เมื่อปีก่อนใช่มั๊ยดีใจนะที่เค้ายังจำเราได้ กินมื้อเย็นเสร็จก็เข้าห้องนอน คืนนี้เรานอนห้อง 3 เตียง มีน้องไก่และน้องแตงนอนห้องเดียวกัน มีเตียงเล็กๆ ขนาดพอดีตัวคน วางอยู่ 3 เตียง คืนนี้แค่ผ้าห่มสำลีผืนหนาก็เอาอยู่ ถุงนอนยังไม่ต้องใช้

13 OCT’13 : Phakding-Namche หลังอาหารเช้า เราออกเดินกันประมาณแปดโมงเช้า ประมาณสองชั่วโมงก็ถึงหมู่บ้าน Monjo เราต้องหยุดรทำเพอร์มิตที่ Sagarmatha National Park ซึงเป็นจุดที่นักเดินเขาต่างชาติทุกคนต้องไปทำเพอร์มิตสำหรับเทรคกิ้ง ทุกคนต้องจ่ายค่า Entry permit คนละ 3000 รูปี (ประมาณ 1 พันบาท) ไกด์จะเป็นคนนำพาสปอร์ตของเราเข้าไปทำเพอร์มิตในออฟฟิศด้านในให้ ส่วนพวกเราก็เข้าห้องน้ำ แล้วออกมาถ่ายรูปเล่น รออยู่ด้านนอก ทำเพอร์มิตเสร็จก็ออกเดินทางกันต่อ เราไปแวะทานมื้อเที่ยงกันที่หมู่บ้าน Jorsalle หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่เมืองนัมเช ก่อนถึงเมืองนัมเช ฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เราต้องหยุดพักที่ด่านสำหรับทำ TIMS Cards ซึ่งอยู่ก่อนเข้าเมืองนัมเชประมาณ 2 กม.แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด ในที่สุดเราก็ต้องสวมเสื้อกันฝนเดินฝ่าสายฝนไปเมืองนัมเช เราเดินถึงที่พักชื่อโรงแรม The Nest ที่เมืองNamche ประมาณบ่ายสอง หลังจากนั้นฝนก็ตกกระหน่ำตลอดเวลา ที่โรงแรมThe Nest คราคร่ำไปด้วยนักเดินเขา แต่ละคนมาถึงที่พักด้วยสักษณะที่เปียกปอนไปตามๆกัน เราต้องพักที่เมืองนัมเชถึงสองคืน เพื่อปรับสภาพร่างกาย เพราะหมู่บ้านต่อไปที่เราจะไปพักคือ Dhole เป็นหมู่บ้านที่อยู่สูงกว่านัมเชเกือบ 1 พันเมตร ซึ่งเป็นกฏของนักเดินเขา ถ้าสถานที่ต่อไปมีระดับความสูงต่างกันเกินกว่า 800 เมตร เราต้องนอนพักปรับสภาพร่างกายที่เดิมมากกว่า1 วันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้ความสูง

14 OCT’13 :  พักปรับสภาพร่างกายอีกวันที่ Namche เช้าวันต่อมา เราวางแผนกันว่าจะขึ้นไปชมพิพิธภัณฑ์ National Park Head Quarter ซึ่งแสดงประวัติของนักปีนเขาและประวัติต่างๆของหมู่บ้าน สัตว์ประจำถิ่น แต่ฝนก็ตกกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อากาศก็ยิ่งหนาวพวกเราก็เลยพากันมานั่งเล่นอยู่ในห้องอาหาร เพราะทางโรงแรมปลอยฮีตเตอร์เข้ามาทำให้อากาศภายในห้องอาหารอุ่นสบาย ทั้งนักเดินเขา ไกด์ ลูกหาบ พากันเข้ามานั่งรับไออุ่นในห้องอาหารจนแน่นขนัด เราได้ยินนักเดินเขาต่างชาติคุยกัน ว่าที่สาเหตุที่ฝนตกไม่หยุด เพราะมีพายุไซโคลนเข้าถล่มอินเดียและกระทบถึงเนปาล และจะมีฝนตกประมาณ 3-4 วัน สมาชิกหลายได้ยิน ก็รีบออกไปซื้อเสื้อกันฝนกันที่ Namche Bazaar กลายเป็นว่าช่วงสองวันที่เราพักที่นัมเช สินค้าที่ขายดีที่สุดทุกร้านเป็นเสื้อกันฝน

15 OCT’13 : Namche-Dhole : วันนี้เราต้องออกเดินไปหมู่บ้าน Dhole เมื่อคืนก่อนนอนพวกเราต่างอธิษฐานให้ฝนหยุดแต่ก็ไม่เป็นผล ฝนยังคงตกๆหยุดๆทั้งคืน จนกระทั่งเช้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่เราก็ต้องเดินต่อ หลังอาหารเช้านักเดินเขาทุกคนพากันสวมเสื้อกันฝนหลากสี สีม่วง สีฟ้า สีส้ม สีเขียว สีเหลือง ดูๆก็น่ารักดี วันนี้เราก้มหน้าก้มตาเดิน มองไม่เห็นวิวสวยๆระหว่างทางเลย ยอดเขาก็ถูกหมอกกลบซะขาวไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่หมอก เส้นทางช่วงนี้เป็นทางราบเดินสบายๆ เราหยุดพักทานมื้อเที่ยงที่หมู่บ้าน Mongla ฝนยังคงตกๆหยุดๆ หลังอาหาร เราออกเดินทางกันต่อ เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆเราต้องไต่บันไดหินบ้าง บันได้เหล็กบ้าง ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า จากตีนเขาสู่ยอดเขา แล้วก็เดินไต่บันไดหินลงไปเรื่อยๆจนถึงริมแม่น้ำ แล้วก็เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ไปอีกฝัง ทั้งเหนื่อยทั้งล้า ยิ่งเราเดินลงมาเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องเดินขึ้นมากกว่านั้นอีกสองเท่า เราไปถึงหมู่บ้าน Dhole ตอนเย็น ท้องฟ้ากำลังโพล้เพล้ ฝนหยุดตกได้สักพักแล้ว ไกด์พาเราเข้าไปเช็คอินน์ที่ Yeti Lodgeซึ่งเป็นโรงแรมสร้างใหม่ มีห้องพักประมาณสิบกว่าห้อง สภาพโรงแรมยังใหม่มาก เครื่องนอนต่างๆยังดูใหม่เอี่ยม เจ้าของโรงแรมเป็นหญิงวัยกลางคนอยู่กับลูกสะไภ้ซึ่งเพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ ตอนแรกเราก็สงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้คอยไปเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าดูบ่อยๆ ในที่สุดก็หายสงสัย เพราะได้ยินเสียงทารกร้องไห้มาจากตะกร้า เราเข้าไปก้มมองดูในตะกร้า เป็นทารกหญิงหน้าตานารัก นอนอ้าปากร้องอยู่ข้างใน ที่นี่คงใช้เปลญวนอย่างบ้านเราไม่ได้ เพราะอากาศหนาวมาก

16 OCT’13 : Dhole-Machermo : วันนี้เราตื่นค่อนข้างสาย ไม่ต้องรีบมาก เพราะระยะทางจาก Dhole ไป Machermoที่เรากำลังจะเดินไปในวันนี้อยู่ไม่ไกลกันนักเราขึ้นไปทานมื้อเช้าในห้องอาหารที่ Yeti Lodge แล้วก็ซื้อน้ำร้อนพกใส่กระติกพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย ก้าวออกจากที่พักก็เจอกับอากาศหนาวยะเยือกต้องรีบคว้าถุงมือมาสวมเลย แต่พอเดินไปสักพักเจอแสงแดดอุ่นๆก็รู้สึกดีขึ้น เราต้องบนสะพานไม้เล็กๆข้ามลำธารไปอีกฝั่ง แล้วก็เดินขึ้นเนินเขาไต่ระดับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีฝูงยัคที่ชาวบ้านนำมาเลี้ยงให้กินหญ้าอยู่เต็มไปหมด ยัคแถวนี้ดูสะอาด ขนสวยงาม เราหยุดถ่ายรูปทั้งยัคและทิวทัศน์ระหว่างทาง ท้องฟ้าสีสวยมาก มีสีฟ้าเข้มตัดกับยอดเขาหิมะสีขาว เริ่มสังเกตุเห็นว่าต้นไม้ใหญ่หายไปแล้ว เหลืออยู่แต่ต้นหญ้าสูงประมาณ 1 ฟุตและต้นหนามเตี้ยๆมีผลสีแดงๆสวยงาม คงจะเป็นอาหารของพวกยัค ระหว่างทางจะมีแย็คเดินสวนมาบ้าง เดินตามหลังมาเป็นขบวนบ้าง เราต้องหยุดให้คาราวานยัคผ่านไปก่อน จึงจะเดินตามไป ยัคเดินเร็วมากทั้งที่แบกของมาเต็มหลัง มีทั้งวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำอาหาร บางตัวก็แบกถังแก๊ส คงจะนำไปส่งตามโรงแรมระหว่างหมู่บ้านต่างๆ เจ้าของฝูงยัคมีรายได้จากนำยัคมาให้บริการรับ-ส่งสินค้าตามโรงแรมต่างๆ ไกด์เล่าให้ฟังว่า ยัคมีชีวิตอยู่ได้ตามพื่นที่สูงระดับ 4000 เมตรขึ้นไป ยัคชอบอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ดังนั้นเราจะเห็นว่าจากสนามบินลุคล่าไปถึงหมู่บ้าน Dhole จะมีคาราวานวัวขนสินค้าไปส่งตามโรงแรมและหมู่บ้านต่างๆ แต่จากหมู่บ้าน Dhole ขึ้นไปต้องเปลี่ยนไปใช้ยัคขนของแทนวัว เพราะวัวจะไม่สู้อากาศที่หนาวเย็นมากๆได้เหมือนยัค ในทางกลับกัน ฝูงยัคก็อยู่ไม่ได้ถ้าอากาศไม่หนาวพอ นี่คงจะเป็นวิถีชีวิตของคนและสัตว์ในแถบเทือกเขาหิมาลัยเส้นทางนี้มานานแสนนาน ไม่มียัคคนก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวเจ้าของยัคจะพาพวกมันลงไปแบกของถึงหมู่บ้านนัมเชเลย เราออกเดินมาได้สัก 1 ชั่วโมง ก็เห็นก้อนหิมะเล็กๆตกอยู่บนยอดหญ้าปละปลาย แต่ยิ่งเดินสูงขึ้นไป หิมะก็ยิ่งเยอะ จนเป็นกองสูง แล้วเราก็ต้องเดินลุยไปบนหิมะ ที่หนาขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกแปลกใจ ปรกติเส้นนี้ ในเดือนตุลาคมจะไม่มีหิมะเลย พวกเราเดินผ่านโรงแรมระหว่างทาง ก็เห็นหิมะคลุมหลังคาห้องพักหนาเตอะ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าใกล้หมู่บ้าน Machermo หิมะยิ่งเต็มจนมองไม่เห็นอะไรเลนอกจากหิมะ เราเริ่มเดินลำบากขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องเดินลุยหิมะที่สูงเหนือเข่าเป็นเวลานานๆ หนาวถึงใจเลยเชียวแหละ แต่ในที่สุดพวกเราก็เดินลุยไปจนถึงหมู่บ้าน Machermo พวกเราพักที่ Tashi Dhole Lodge พอไปถึงที่พัก แดดยังจ้าอยู่ พวกเรารีบถอดรองเท้า ถุงเท้าตากแดด หน้าห้องพักทุกห้องเต็มไปด้วยรองเท้าและถุงเท้าวางผึ่งแดด มีเป้ของสมาชิกสองสามใบเปียกน้ำ เสื้อผ้าที่อยู่ด้านในก็เปียกด้วย ลูกหาบคงจะเอาเป้ไปวางบนหิมะทีกำลังละลายนานจนน้ำซึ่มเข้าด้านใน น้องๆในทีม ต้องเอาเสื้อผ้าออกมาผึ่งแดดหน้าห้องพัก เรารู้สึกทั้งเหนื่อยและหนาวมากเพราะที่พักปกคลุมไปด้วยหิมะ ทั้งด้านหน้า ด้านหลังและบนหลังคา ก็เลยงัดถุงนอนออกมานอนให้หายหนาวก่อน ทุกคนพากันเข้าห้องมุดถุงนอนกันหมด ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ตอนที่ไกด์มาเคาะประเตูเรียกไปทานอาหารเย็นแล้ว

17 OCT’13  Machermo-Gokyo : ตื่นเช้ามาด้วยความหนาวเหน็บ หิมะขาวโพลนไปหมด ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้างของโรงแรม แม้กระทั่งบนหลังคาโรงแรมก็มีหิมะคลุมอย่างหนา ไกด์มาตามไปทานมื้อเช้า นักเดินเขาต่างชาตินั่งอยู่เต็มห้องอาหาร โชคดีที่เราสั่งอาหารเช้าไว้แต่เมื่อเย็นวาน เลยไม่ต้องรอนาน พอเราเริ่มทาน พวกต่างชาติก็พากันทะยอยออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนหลังอาหารเช้า ก็อำลาเจ้าของเกสเฮาท์ ออกเดินทางสู่ Gokyo ต้องเดินย่ำหิมะที่สูงเหนือเขา แต่โชคดีที่มีคนเดินย่ำไปก่อนเราก็เดินตามรอยเท้าของนักเดินเขาคนอื่น ยิ่งเดินสูงขึ้น หิมก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ สักพัก มีนักเดินเขา เดินสวนทางกลับมาหลายคนบอกว่าไปต่อไม่ได้ เส้นทางถูกบล็อคด้วยหิมะที่หนามาก ต้องเดินกลับ เรารู้สึกใจเสีย ปรึกษากับไกด์ว่าจะทำยังงัยดี ไกด์บอกว่าเราต้องเดินกลับไปเส้นทางเดิมก่อน แล้วจะมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ตัดไปทาง Gorak Shep แต่เราไม่สามารถเดินไป Gokyo ได้ นั้นหมายความว่าเราจะไม่ได้ไปชมยอดเขาเอเวอเรสต์จาก Gokyo Ri ได้ แล้วไม่สามารถข้าม Cho La Pass ได้ เราสงสารลูกทริป ทุกคนอยากขึ้น Gokyo RI แล้วอยากลองข้าม

Cho La Pass สำหรับเราถึงแม้นจะเคยข้ามโชลาพาสมาถึงสามครั้งแล้ว ก็ยังอยากจะไปอีก แต่ก็ต้องเดินกลับไป Machhermo มีสมาชิกบางคนเดินไปคลินิคแพทย์ที่ Machermo เพื่อวัดระดับอ๊อกซิเจนในเลือด เราพาสมาชิกที่เหลือเดินกลับไปรอเพื่อนๆอยู่ที่โรงแรม Tashi Dhoel Logde เจ้าของโรงแรมออกมาคุยด้วย แสดงความเสียใจที่เราไปต่อไม่ได้ เธอบอกว่าปรกติเดือนตุลาคมจะไม่มีหิมะ แต่ปีนี้อากาศวิปริต เราปรึกษาไกด์เนปาลถึงเส้นทางที่จะเปลี่ยนและโรงแรมที่ต้องเปลี่ยนเรารอจนสมาชิกกลับมาจากคลีนิคครบทุกคน ก็เดินตามไกด์กลับไปทางหมู่บ้าน Dhole เดินผ่านเส้นทางเดิมที่เคยเดินผ่านมาเมื่อวาน แต่วันนี้หิมะหนากว่าเมื่อวานอีก เราเดินไปถึงหมู่บ้าน Dhole ตอนบ่ายแก่ๆ รู้สึกหิวมากมาย ไกด์พาเข้าไปทานมื้อเที่ยงที่ Guest House แห่งหนึ่ง สงสัยเหมือนกันว่าทำไมไกด์ไม่พาไปทานที่ Yeti Lodge ที่เราเคยนอนเมื้อสองคืนก่อน แต่ก็ไม่ได้ถาม รีบๆสั่งอาหารกิน เพราะเส้นทางอีกไกล ยังไม่รู้ต้องเดินอีกนานเท่าไหร่สำหรับวันนี้ เราออกจาก Dhole ก็เย็นแล้ว เดินผ่านป่าเบิร์ด ผ่านน้ำตกเล็กๆระหว่างทาง เห็นพระอาทิตย์กำลังตก สวยงามอีกแหระ แต่ด้วยความรีบ ก็ไม่ได้เอากล้องออกมาถ่าย เพราะยิ่งเย็นอากาศก็ยิ่งหนาว เราต้องการไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments