ทัวร์ปากีสถาน ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันสดใส สวรรค์บนดินกลางหุบเขาหิมะที่สวยงาม ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันสวยงาม สวรรค์บนดินกลางหุบเขาหิมะ
สัมผัสธรรมชาติที่งดงามบริสุทธิ์ ยอดเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์สวยงาม ชมธารน้ำแข็งโบราณ ตื่นตาตื่นใจกับสีสันสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะที่มีรูปร่างสวยงามแปลกตา เชิญเพื่อนๆนักเดินทางผู้หลงไหลกับธรรมชาติดิบๆที่งดงามราวกับสวรรค์บนดิน ไปร่วมสำรวจเส้นทางที่ท้าทายกับเราสิคะ บอกได้ว่า เป็นดินแดนที่งดงามดั่งสวรรค์สรรค์สร้าง ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ต้องมาสัมผัสด้วยตาของท่านเอง
กำหนดการเดินทาง 26 ตค.- 5 พย.66
โปรแกรมการเดินทาง
วันแรก : กรุงเทพ-อิสลามาบัด
17.30 น.พบกันที่สุวรรณภูมิ เช็คอินน์ โหลดสัมภาระขึ้นเครื่องกับการบินไทย ไฟร้ท TG 349
19.00 น.ได้เวลาบินสู่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 10 นาที
22.10 น.ตามเวลาท้องถิ่นปากีสถาน (ช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมง) เดินทางถึงสนามบิน Benasir Bhutto ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระ นั่งรถสู่ที่พัก Hotel de Palazzo หรือ Elite Residence ที่เมืองอิสลามาบัสซึ่งเป็นเมืองหลวงของปากีสถาน
วันที่ 2 : Isalamabad – Naran – Chilas (275 km.) 8 hours
06.30 น : ออกเดินทางแต่เช้า สู่เมือง Chilas แวะทานมื้อเช้าระหว่างทางที่เมือง Mansehra หลังจากนั้นออกเดินทางต่อ
เที่ยง : แวะทานมื้อเที่ยง ณ ภัตตาคารที่เมือง Naran ให้สมาชิกเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย จากนั้นออกเดินทางต่อไปแวะชม Lulusar Lake ก่อน ถ่ายรูปกันสักพัก แล้วเดินทางต่อไปที่ Babusar Top ก่อนถึงจุดนี้ ต้องผ่านด่าน Check Point ที่ด่าน Babusar Pass ซึ่งเป็นจุดที่สูงสุดของเส้นทางสาย Naran และเป็นจุดที่อากาศหนาวเย็นมาก
ค่ำๆ : บริการอาหารค่ำที่โรงแรมที่พัก Shangri-La Resort Chilas หรือเทียบเท่า
วันที่ 3 : Chilas – Fairly Meadow
เช้า : ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นเช็คเอ้าท์ นำท่านเดินทางสู่สะพาน Raikot ถึงสะพาน ชมภาพแกะสลักพระพุทธเจ้าบนแผ่นหินตั้งแต่สมัยโบราณ (The ancient buddha rock carvings) หลังจากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถจี๊ปท้องถิ่นอีก12 km.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงไปหมู่บ้าน Tattu หลังจากนั้นเราต้องขี่ม้าเพื่อไปยังFairly Meadow อีก 5 km.ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (ใครไม่กล้าขี่ม้าก็เดินเท้าเข้าไปได้ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง)
Fairy Meadows ได้รับการเรียกชื่อว่า “ทุ่งหญ้านางฟ้า” เป็นทุ่งหญ้าที่ล้อมรอบป่า ตั้งอยู่ที่ความสูง 3300 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีธารน้ำแข็ง Raikot ที่สวยงามอยู่ข้างๆ เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการ trekking สู่ยอดเขา Nanga Parbat ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก (สูง 8,126เมตร) เและถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ.1995
Nanga Parbat แปลว่ายอดเขาเปลือยหรือยอดเขากินเลือด เรียกกันว่า Killing mountain เพราะเป็นยอดเขาที่มีอันตรายที่สุดในบรรดายอดเขาที่สูงกว่าแปดพันเมตรขึ้นไปทั้ง 14 ยอดที่นักปีนเขาเคยพิชิตมา
16.00 น.โดยประมาณ ถึง Fairly Meadow เข้าที่พักที่ Raikot Sarai Huts เก็บสัมภาระแล้วเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆทุ่งหญ้าแสนสวย ชมวิวของธารน้ำแข็ง Rakaposhi ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าบ้านพัก
18.30 น. ทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ
วันที่ 4 : Fairy Meadows – Gilgit
07.30 น.ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่โรงแรม
08.30 น.ขี่ม้ากลับลงจาก Fairy Meadows กลับมาขึ้นรถจี๊ปที่หมู่บ้าน Tattu เพื่อไปขึ้นรถที่สะพาน Raigot แล้วออกเดินทางกันไปเมือง Gilgit
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงกันที่ภัตตาคาร Jaglot at Resham หลังจากนั้นเดินทางกันต่อ แวะถ่ายรูปกับ Junction Point of 3 Great Mountain Ranges ซึ่งเป็นจุดตัดของ 3 เทือกเขา อันได้แก่ (หิมาลัย ฮินดูกูช คาราโครัมย์) ที่มีแม่น้ำ Gilgit และแม่น้ำ Indus (สินธุ) ไหลมาบรรจบกัน แล้วออกเดินทางต่อสู่เมือง Gilgit แวะถ่ายรูปกัน Kagah Buddah ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักบนหน้าผาซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่พุทธศาสนาเผยแพร่มาถึงเส้นทางสายไหม
เย็นๆ : ถึงเมือง Gilgit เข้าที่พักที่ xxx, Gilgit
วันที่ 5 : Gilgit – Phander Lake – Phander Valley – Gupis
07.30 น.ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.30 น.ออกเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงไปยัง Gupis
เที่ยง : แวะทานมื้อเที่ยง ที่ Gupis และเช็คอินน์ เก็บกระเป๋าที่นี่ คืนนี้หลังจากไปเที่ยวชมทะเลสาบ Phander แล้ว เราจะกลับมาค้างที่ Gupis หลังจากทานมื้อเที่ยง ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังจุดชมวิวตรงทะเลสาบ Phander ซึ่งห่างจาก Gupis ไปราว 50 กม วิวจาก Gupis ไปยัง Phander สวยงามกว่าวิวจาก Gilgit มายัง Gupis เสียอีก ก่อนถึง Phander Lake รถจะพาเราลัดเลาะขึ้นเนินเขา ทำให้ได้เห็น Phander Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบกลางหุบเขา Phander น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวมรกตใส นิ่งราวกระจก มองเห็นภาพสะท้อนได้อย่างสวยงามจนได้ชื่อว่า “Mirror Lake” เราจะแวะถ่ายรูปกับวิวสวยๆที่จุดชมวิวในหุบเขา Phander ซึ่งมีแม่น้ำ Gilgit ไหลผ่านระหว่างหุบเขา เป็นแหล่งที่มีปลาเทร้าต์ชุกชุมอีกแห่งหนึ่งของปากีสถาน
เย็นๆ : พากลับหมุ่บ้าน Gupis เข้าพักที่โรงแรม PTDC Gupis
วันที่ 6 : Gupis – Hunza Valley
07.30 น.ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.30 น.ออกเดินทางไปเมือง Hunza โดยจะต้องย้อนกลับไปยังเมือง Gilgit ก่อนที่จะใช้เส้นทาง Karakoram Highway ต่อไปยังKarimabad ซึ่งระยะทางจาก Gupis ถึง Karimabad ประมาณ 210 กม. แวะชมมัสยิดใหญ่ประจำเมือง Gilgit แวะถ่ายรูปกับสะพานแขวนแห่งเมืองกิลกิต (Gilgit Suspension Bridge) ซึ่งใช้ข้ามแม่น้ำกิลกิต ใช้ได้ทั้งคนและรถมอเตอร์ไซต์ Gilgit เป็นสาขาของแม่น้ำสินธุ มีต้นกำเนิดมาจากทะเลสาบ Shandur บนเทือกเขา Hindu Kush ช่วงต้นๆ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Ghizar River แต่พอผ่านเมือง Gilgit ไปแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น Gilgit River
หุบเขาฮุนซ่า (Hunza Valley) มีพื้นที่ 7900 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาหิมะที่สวยงามถึง 11 ยอด ในฤดูใบไม้ร่วงภายในหุบเขาจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันใของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี สวยงามจนแทบลืมหายใจ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของที่นี่คือป้อมโบราณ Baltit และป้อม Altit สามารถมองเห็นยอดเขาสำคัญคือ Ultar Sar, Rakaposhi,Bojahagur Duanasir II, Ghenta Peak, Hunza Peak, Passu Peak, Diran Peak และ Bublimotin (Lady Finger Peak)
ป้อม Baltit ซึ่งมีอายุกว่า 700 ปี ผ่านการบูรณะมาหลายครั้ง เป็นป้อมที่สร้างอยู่บนทำเลที่สวยงาม ต้องเดินเท้าขึ้นบันไดไปด้านบนประมาณ 10 นาที มองจากบนบ้อม Baltit จะเห็นวิวของหุบเขา Hunza ในมุม 360 องศา ปัจจุบัน Baltit ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งดำเนินการโดย Baltit Heritage Trust นอกจากนั้น Baltit Fort ยังอยู่ในรายชื่อเตรียมพิจารณาให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก
ป้อม Altit เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเมือง Gilgit – Baliststan มีอายุถึง 900 ปี ตั้งอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำฮุนซ่า มีหอคอยสูงสูดบนป้อมเรียกว่า Shikari tower มองลงมาจะเห็นหมู่บ้าน Karimabad เรียงรายตามเนินเขาเป็นภาพที่สวยงามมาก พาไปเยี่ยมชมย่านการค้าของเมือง Karimabad ชมวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่อยู่อย่างพอเพียง ปล่อยให้ช๊อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย
เย็น : เข้าที่พักที่ Hunza Embassy Hotel เมือง Hunza หลังจากนั้นทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่ 7 : Hunza – Attabad Lake – Passu-Khunjerab National Park (200 km)-Hunza
เช้า : ทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารชองโรงแรม หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองพาสสุ (Passu) ซึ่งตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถ่ายรูปกับจุดชมวิวทะเลสาบอัตตาบัด ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ที่ตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้าน เนื่องจากเกิดแผ่นดินถล่มเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2553 และทำให้เกิดเขื่อนและทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าทะเลสาอัตตาบัด (Attabad Lake) ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน Attabad เสียชีวิตทันที 20 คนและที่เหลือกว่า 6 พันคนที่อยู่ต้นแม่น้ำต้องอพยพหนีน้ำในทะเสสาบที่สูงขึ้นเรื่อยๆและถูกตัดขาดจากแผ่นดิน ชมทัศนียภาพอันสวยงามแปลกตาของยอดเขาฟันปลาและทิวทัศน์ของเมืองพาสสุ สะพานแขวน (Suspension bridge) แล้วเดินทาง
ต่อสู่เมืองซุส (Sost) เมืองชายแดนของปากีสถานก่อนที่จะเข้าอุทยานแห่งชาติ Khunjerab National park เป็นช่องทางการค้าที่สูงที่สุดในโลก บนเทือกเขาคาราโครัม สูง 4,730 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเส้นทางสายไหมโบราณที่เชื่อมเอเชียกลางสู่ยุโรป ตลอดการเดินทางเราจะเจอเทือกเขาหิมะสลับซับซ้อนแปลกตา สามารถพบเห็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น Ibex, Yak ที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขาแถวนี้ จนไปถึงจุดสุดท้ายที่ด่านชายแดนระหว่างปากีสถานและจีน ก่อนที่จะออกไปยังประเทศจีนบนเส้นทางสายให้ที่ซิเกี่ยง บันทึกประวัติศาสตร์ให้ตัวเองว่าได้ยืนอยู่บนเส้นทางประวัติศาสตร์ ของโลก ลงมาเล่นหิมะและถ่ายรูปกับบรรยากาศอันหนาวเหน็บที่ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาหิมะ
เที่ยง : ทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร แล้วนำท่านชมสะพานแขวน ( Passu Suspension Bridge) เป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำของคนท้องถิ่น ชมทะเลสาบ Borit ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดสีเขียวใสที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา หลังจากนั้นพาเดินเท้าประมาณ 30 นาที เพื่อไปสัมผัสธารน้ำแข็ง Passu สมควรแก่เวลา พากลับสู่หมู่บ้าน Passu
เย็น : พาเข้าพักที่ Passu Tourist Lodge / Sarai Silk Route
วันที่ 8 : Hunza – Hopper Glacier – Nagar Valley – Eagle Nest
เช้า : ทานมื้อเช้าที่โรงแรม จากนั้นพาท่านเดินทางสู่ทะเลสาบ Attabad ซึ่งจากเกิดแผ่นดินถล่มเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2553และทำให้เกิดเขื่อนและทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าทะเลสาอัตตาบัด (Attabad Lake) ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน Attabad เสียชีวิตทันที 20 คนและที่เหลือกว่า 6 พันคนที่อยู่ต้นแม่น้ำต้องอพยพหนีน้ำในทะเสสาบที่สูงขึ้นเรื่อยๆและถูกตัดขาดจากแผ่นดิน พาสมาชิกล่องเรือชมวิวในทะเลสาบใช้เวลาครึ่งชั่วโมง
เที่ยง : ทานมื้อเทียงกันที่ Princes Garden at Nagar Valley หลังจากนั้นพาท่านเดินทางสู่หุบเขาฮ๊อปเปอร์ (Hopper Valley) ชมธารน้ำแข็งฮอปเปอร์(Hopper Glacier) ซึ่งนับเป็นจุดเข้าชมกราเซียที่ใกล้มากที่สุด พาเดินทางกลับเมือง Hunzar แวะชม Altit fort ระหว่างทางแวะถ่ายรูปกับจุดชมวิว ชมยอดเขา Rakaposhi ซึ่งมีระดับความสูง 7,788 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เมือง Karim Abad หรือ Hunza เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตหุบเขา Hunza อยู่สูงจากระดับน่้ำทะเล 2,438 เมตรและมีพื้นที่ประมาณ 7,900 ตารางกิโลเมตรมีเมืองหลักคือเมืองบอลติ๊ท (Baltit) ในอดีต Hunza เป็นรัฐอิสระที่มีออำนาจปกครองตนเองเป็นเวลากว่า 900 ปี ชาว Hunza ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมนิกายอิสไมลี่ชีอะ (Ismaili Shia) ใช้ภาษาดั้งเดิมคือภาษา Brushuski แต่ก็สามารถเข้าใจภาษาอูรดู (Urdu) และภาษาอังกฤษ สำหรับภาษา Brushuski เป็นภาษาท้องถิ่นพูดกันเฉพาะในเขตพื้นที่ฮุนซ่าชมทัศนียภาพที่สวยงามของเส้นทางหลวงคาราโครัม (Karakoram Highway) ผ่านหุบเขาผลไม้อันอุดมสมบูรณ์ของ HunzaValley และ Nagar Valley ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ช่อนตัวอยุ่ในหุบเขา ห่างไกลจากมลพิษทั้งปวง ไม่น่าแปลกเลยที่ Hunza ได้ชื่อว่ามีประชากรที่มีอายุเฉลี่ยยืนยาวเป็นอันดับต้นๆของโลกถึง 85 ปี คนชราหลายคนมีอายุถึง 120 ปี เพราะเมืองตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม ภูมิประเทศตั้งอยู่บนที่สูง ที่มีโอโซนในปริมาณสูงเป็นผลมาจากความมหัศจรรย์แห่งเทือกเขาหิมาลัย ทำให้อากาศมีความบริสุทธ์เป็นอย่างมาก เป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์กลางเทือกเขาคาราโครัมจะถูกโอบล้อมโดยยอดเขาสูงมากมาย ที่มีความสูง มากกว่า 7000 เมตร. เที่ยวชมเมืองที่มีสีสันสดหลากหลาย ส้ม-เหลืองของใบไม้เปลี่ยนสี สีฟ้าของแม่น้ำ Hunza River ที่ทอดตัวโค้งยาวสวยงามราวภาพวาด พาชมป้อมโบราณบนเนินเขา Baltit Fort และ Altit Fort สามารถมองเห็นยอดเขาสำคัญได้แก่ Ultar Sar, Rakaposhi, Ghenta Peak Bojahagur Duanasir II, Hunza Peak, Passu Peak, Diran Peak และ Bublimotin (Ladyfinger Peak) ป้อม Baltit มีอายุกว่า 700 ปี ผ่านการบูรณะมาหลายครั้งเป็นป้อมที่สร้าง
อยู่บนทำเลที่สวยงาม ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบนประมาณ 10 นาที มองลงมาเห็นหุบเขา Hunza ในมุม 360 องศา ในอดีตมหาราชาแห่งแคว้น Hunza เคยประทับอยู่ ปัจจุบัน Baltit Fort ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งดำเนินการโดย Baltit HeritageTrust นอกจากนั้น Baltit Fort ยังอยู่ในรายชื่อเตรียมพิจารณาให้เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโก ส่วนป้อม Altit เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเมือง Gilgit-Baliststan มีอายุถึง 900 ปี ตั้งอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำ Hunza มีหอคอยสูงสูดบนป้อมเรียกว่า Shikari tower มองลงมาเห็นหมู่บ้าน Karim Abad เล็กๆในหุบเขาที่มีบ้านคนเรียงรายตามไหล่เขาสลับกับต้นแอ๊ปปริคอท พีช เชอรี่ ปลูกกันเต็มทั้งหุบเขา ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสตัดกับยอดเขาหิมะขาวโพลน งดงามไร้คำบรรยาย พาไปเยี่ยมชมย่านการค้าของเมือง Karim Abad ชมวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่อยู่อย่างพอเพียง ปล่อยให้ช๊อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย
เย็นๆ : เข้าพักที่โรงแรม Eagle Nest Resort อันมีชื่อเสียง บนยอดเขา Duiker
วันที่ 9 : Duiker – Rakaposhi View Point – Gilgit – Chilas
ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาด้านหลังของโรงแรม สามารถมองเห็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงคือ Lady finger (Bublimotin : 6,000 เมตร) หรือคนไทยเรียกกันว่ายอดดัชนีนาง เพราะมีรูปร่างเรียวแหลมเหมือนนิ้วมือ หลังจากนั้นลงมาทานมื้อเช้าที่โรงแรมแล้วออกเดินทางกลับเมือง Chilas ระหว่างทางจะได้เห็นธารน้ำแข็งที่ไหลเลื่อนลงมาที่ถนน แวะชมยอดเขา Rakaposhi ที่มีความสูงระดับ 7788 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถึงแม้ไม่ใช่ยอดสูงระดับกว่าแปดพันเมตรเหมือน Nanga Parbat หรือ K2 แต่เนื่องจากมีฐานที่ยาวกว่า 16 กิโลเมตร ขนานไปกับ Karakorum High Way มียอดที่สวยงามมองเห็นแต่ไกล จึงทำให้ยอดเขา Rakaposhi ได้รับความนิยมกว่ายอด Nanga Parbat
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยง ทีเมือง Resham หลังจากนั้นพาไปชมยอดเขา Nanga Parbat ซึ่งมีความสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก บนเส้นทาง Karakoram Highway
07.30 am.
Visit Rakaposhi view Point
Via Old Silk Road and Gilgit
Lunch at Resham , Jaglot
Visit Nanga Parbat Peak No.9 of the World on KKH for take a photo view
Departure for Chilas
Dinner & Night Stay at Shangrilla, Chilas (Wif
เช้า : ทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวภูเขาฟันเลื่อย ซึ่งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม ล้อมรอบด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี เหลือง ส้ม แดง สวยสุดจะบรรยาย
Passu เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของปากีสถาน มีอายุเก่าแก่มากกว่า 700 ปี อยู่บนเส้นทางสายไหมตั้งแต่โบราณอยู่ห่างจากเมืองกิลกิตมาทางเหนือประมาณ 150 กม. และอยู่ห่างหมู่บ้านกุลมิทประมาณ 15 กม. ไฮไลท์ของหมู่บ้าน Passu ก็คือธารน้ำแข็ง Passu และยอดเขาฟันเลื่อยหรือยอดเขารูปกรวย Passu Cathedral peak สูง 6500 เมตร
หลังอาหาร นั่งรถไปชมช่องเขา Khunjerab ซึ่งมีความสูง 4730 เส้นทางหลวงลอยฟ้าคาราโครัม ไฮเวย์และเป็นจุดที่สูงที่สุดในโลกของเส้นทางหลวงนี้ ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างปากีสถานและจีน ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Khunjerab ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์สงวนหายาก ระหว่างทาง เราอาจจะได้เจอแกะ Ibex และตัว Marmot
เที่ยง : แวะทานมื้อเที่ยงที่เมือง Gulmit แล้วเดินทางต่อ แวะถ่ายรูปกับเทือกเขา Passu แล้วเดินทางกลับไปหมู่บ้าน Hunza แวะถ่ายรูปยอดเขา Rakaposhi สูง 6606 เมตรที่จุดชมวิวระหว่างทาง
เย็น : เข้าที่พัก Hotel Eagle’s Nest Hunza หรือรังพญานกอินทรี ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม มองลงมาด้านล่างมองเห็นเมือง Kalimabad ได้ชัดเจน
วันที่ 10 : Hunza – Hopper Valley & Gilgit (150 KM.)
ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาด้านหลังของโรงแรม สามารถมองเห็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงคือ Lady finger (Bublimotin: 6,000m) หรือ ยอดดัชนีนาง เพราะมีรูปร่างเรียวแหลมเหมือนนิ้วมือ หลังจากนั้นลงมาทานมื้อเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารเช้าเราออกเดินทาง ข้ามแม่น้ำ Hunza ไปอีกฟากหนึ่ง สู่หุบเขา Nagar ขึ้นไปที่หุบเขา Hopper ใช้เวลาเดินทางประมาณ1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางจะได้เห็นธารน้ำแข็งที่ไหลเลื่อนลงมาที่ถนน เมืองนี้ประชากรเป็นชาวมุสลิมนิกาย Ismaili Shia ชมยอดเขา Rakaposhi ที่มีความสูงระดับ 7788 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถึงแม้ไม่ใช่ยอดสูงระดับกว่าแปดพันเมตรเหมือน Nanga Parbat หรือ K2แต่เนื่องจากมีฐานที่ยาวกว่า 16 กิโลเมตร ขนานไปกับ Karakorum High Way มียอดที่สวยงามมองเห็นแต่ไกล จึงทำให้ยอดเขา Rakaposhi ได้รับความนิยมกว่ายอด Nanga Parbat
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงที่จุดชมธารน้ำแข็ง Rakaposhi ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Gilgit 80 กิโลเมตร
เย็น : เข้าที่พัก Madina Hotel, Gilgit ทานมื้อเย็นด้วยกันที่โรงแรม คืนนี้เราต้องเตรียมแยกเสื้อผ้า 1-2 ชุดใส่เป้เล็กๆ เพื่อจะไปพักค้างคืนที่ Fairy Meadow ในวันพรุ่งนี้ 1 คืน
วันที่ 11 : Naran-Islamabat (200 km.)
หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่เมือง Islamabad ผ่านพิพิธภัณฑ์ Taxila แวะชมมัสยิด Faisal ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน
และเคยเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน พาไปชมเมือง Islamabad และเมือง Rawalpindi เท่าที่เวลาจะอำนวย
เย็นๆ ทานมื้อเย็นในเมือง Rawalpindi ก่อนเดินทางไปสนามบินเบนาซี บุตโต
21.30 น.: เช็คอินน์ โหลดสัมภาะ ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แล้วไปรอขึ้นเครื่อง
23.30 น.: บินสู่สุวรรณภูมิด้วยเที่ยวบิน TG350 ใช้เวลาบิน 4 ชม.45 นาที
06.15 น.: ถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ ผ่านพิธีการทางตม.รับสัมภาระแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน
อัตราค่าทริป ท่านละ 51500 บาท
อัตรานี้รวม
• ค่าที่พักในปากีสถาน 10 คืน โรงแรมสองดาวบ้าง สามดาวบ้าง ห้องละ 2-3 ท่าน
• ค่าอาหารและน้ำดื่ม วันละ 3 มื้อ รวมผลไม้ ชาและขนมขบเคี้ยวต่างๆ
• ค่าวีซ่าปากีสถาน
• ค่ารถรับส่งตลอดทริปพร้อมคนขับประสบการณ์สูง
• ค่าจ้างไกด์ท้องถิ่นปากีสถาน 1 คน
• ค่าจ้างหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย 1 คน
• ค่าธรรมเนียมค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ
• ค่าทำประกันภัยการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท
อัตรานี้ไม่รวม
• ค่าตั๋วเครื่องบิน การบินไทย ไป-กลับ กรุงเทพ-อิสลามาบัด (ค่าตั๋วประมาณ 16500-18500 บาท)
• ค่าซักรีดต่างๆ
• ค่าโทรศัพท์ทางไกล
• ค่าทิปไกด์-คนขับรถ (เราแชร์กันให้ก็ได้ค่ะ)
• ค่าขี่ม้า หรือขี่อูฐ
ข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่า
• Passport ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือนนับจากวันเดินทาง และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า (ถ้ามีอายุน้อยกว่า 6 เดือน
กรุณาไปทำใหม่)
• รูปถ่ายสี ขนาด 1.5 นิ้ว หรือ 2 นิ้วจำนวน 2 ใบ
• สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
• สำเนาบัตรประชาชน 1 แผ่น
• จดหมายรับรองการทำงาน (เป็นภาษาอังกฤษ)
• จดหมายรับรองการเงินจากธนาคาร /ถ่ายสมุดเงินฝากออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือน
สนใจร่วมทริป กรุณส่งหน้าพาสปอร์ตมาเพื่อจองตั๋ว TG ไว้ก่อน ยังไม่ต้องโอนเงิน รอเอเย่นยืนยัน ถ้าตั๋วโปร TGออกจะแจ้งให้ลูกค้าทราบอีกที เพื่อเป็นการตัดสินใจว่าจะจองหรือไม่ ถ้าท่านยืนยันร่วมทริป เราจะแจ้งให้ท่านโอนเงินค่าตั๋วมาให้ค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณศิริพร เบอร์โทร : 098-2725406, 092-4341166
อีเมล : s_pond2010@hotmail.com ไลน์ ID : ssp061962
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ : 11/06268