ชมทะเลสาบแปงกอง ชมวัดและพระราชวังโบราณ ขี่อูฐกลางทะเลทรายในหุบเขา
นูบร้า ชมทัชมาฮาล สุดท้ายความงดงามของพระราชวังต่างๆในมหานครสีชมพู
ชมความงดงามแปลกตาของเทือกเขาสีน้ำตาลแดงและเทือกเขาสีเงินที่ขึ้นเรียงรายสลับซับซ้อนนับจำนวนยอดเขาไม่ถ้วน ยอดเขาแหลมๆถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวเหมือนสวมหมวกแก๊ป อากาศหนาวเย็นตลอดปี ชมทะเลสาบแปงกองสีเทอร์คอยซ์สวยงาม พาไปชิมแอ๊ปปริคอตและแอปเปิ้ลสดๆ  ที่ปลูกเรียงรายกันทั่วเมืองลาดัก ชวนสัมผัสไปวัฒนธรรมของชาวลาดัก ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับเขตปกครองตนเองทิเบต ทั้งวัดวาอาราม พระราชวังโบราณ สถานที่ราชการ บ้านเรือน โรงแรม ตลอดจนนิสัยของชาวลาดัก ผู้คนน่ารัก รักสงบ จิตใจเยือกเย็น ยึดมั่นในพุทธศาสนา นับถือท่านดาไลลามะ จนลาดักได้รับสมญานามว่าเป็น “ทิเบตน้อย”  ที่นั่นแทบจะไม่เคยมีอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นกับประชาชน ชวนท่านไปสัมผัสหิมาลัยที่ปลายขอบฟ้ากับเราสิคะ 

อัตราค่าทริป คนละ 26500 บาท ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน 4 ขา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศิริพร  : 092-4341166, 098-2725406
ไลน์ ID : ssp061962   ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ 11/06268

กำหนดวันออกทริป
29 เมย. – 07 พค. 2566 กำลังเปิดรับ
10 ตค. – 18 ตค.  2566  กำลังเปิดรับ

***โปรแกรมทัวร์***
วันที่ –  : กรุงเทพ – เดลลี
20.30 น.พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินน์ของการบินไทย H-J เช็คอิน โหลดสัมภาระ ผ่านพิธีทางตม.และผ่านเครื่องสแกน ไปรอเรียกขึ้นเครื่อง
23.15 น.เหินฟ้าสู่เดลลี ด้วยไฟรัท TG 331 ใช้เวลาบิน 4 ชม.ครึ่ง ทานอาหารบนเครื่อง หลังจากนั้นก็นอนหลับพักผ่อนเอาแรงไปก่อนนะคะวันที่  1  :  เดลี – เลห์ – ชมวัดเฮมิส – พระราชวังเซย์ – วัดติ๊กเซ่
02.15 น.
ถึงสนามบินอินทิรา คานธี เดลี ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 1 ชม. 30 นาที เข้าคิว รอสแตมป์วีซ่า พร้อมกับพิธีตรวจคนเข้าเมือง แล้วออกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว รอรับสัมภาระจากสายพาน พาไปแลกเงินรูปีภายในสนามบิน (สำหรับท่านที่ยังไม่ได้แลกเงินรูปีมาจากเมืองไทย) แล้วพาไปขึ้นรถ Shuttle bus ไปยังสนามบินภายในประเทศ Terminal 1D นั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมง
04.00 น.เช็คอินกับสายการบินภายในประเทศ Spicejet โหลดสัมภาะ แล้วไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
05.45 น.ได้เวลาบินสู่เมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท SG-121 ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 30 นาที
07.15 น.ถึงสนามบินเลห์ กรอกเอกสารเข้าเมือง แล้วรอรับสัมภาระ แล้วพาไปขึ้นรถยนต์ที่เอเจ้นส่งมารับ เดินทางสู่ที่พักในเมืองเลห์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นทานมื้อเช้ากันที่บ้านพัก แล้วปล่อยให้พักผ่อนสัก 3-4 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพให้คุ้นชินกับความสูง
13.30 น.ตื่นมาทานมื้อเที่ยงกันที่ห้องอาหารของที่พัก หลังจากนั้นเตรียมตัวออกทัวร์กัน
14.30 น.พาไปชมวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 45 กม.ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเลห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1630 ในช่วงสมัยกษัตริย์ Sengge Namgyal เป็นวัดในนิกายหมวกแดง ถือเป็นวัดที่ใหญ่และร่ำรวยที่สุดในแคว้นลาดัก ปกติวัดนี้จะจัดเทศกาลเฮมิสหรือเทศกาลหน้ากากขึ้นในวันที่ 9 และ 10 เดือน 5 ตามปฏิทินของชาวทิเบตจุดประสงค์ของการจัดงานคือต้องการระลึกถึงวันเกิดของท่าน Rinpoche หรืออีกนามหนึ่ง Padmasambhava ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธนิกายตันตระมาเผยแพร่ในทิเบต ระหว่างทางท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับใบไม้สีเหลืองทองสวยงามของต้นป๊อปล่าและต้นวิลโล่ว์ ซึ่งในเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีพาท่านเข้าไปกราบพระในวัดกัน แล้วปล่อยให้ถ่ายรูปกันประมาณ 1 ชม. 16.00 น.พาไปชมวัดติ๊กเซ่ (Thiksey Monastery) อยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางใต้ 17กม. วัดนี้ตั้งอยู่บนเนิน เขาอยู่เหนือแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปีคศ.1430 เป็นวัดในนิกาย Gelugpa หรือนิกายหมวกเหลือง คำว่า ”เกลุก” แปลว่าความดีที่เป็นกุศล ท่านดาไลลามะองค์ที่ 14 และองค์ปันเซนลามะก็เป็นพระในนิกายหมวกเหลืองเช่นกัน ถ้าไม่มืดซะก่อนจะพาแวะชม พระราชวังเซย์ Shey Palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดติ๊กเซ่
18.30 น.ไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วพากลับที่พัก

วันที 2  : Magnetic Hill–Sangam View Point–วัด Likir –วัด Lamayuru–Shanti Stupa
07.00 น.
ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.00 น.
หลังอาหารเช้า พาสมาชิกเดินทางไปเมือง Ule (ห่างจากเมืองเลห์ 70 กม.)
– ถ่ายรูปที่ Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill เป็นสถานที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์  ถ้าจอดรถไว้ตรงจุดนั้นแล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่ารถกำลังไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา จริงๆแล้วถนนมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขาที่นี่เลยได้ชื่อว่า Magnetic Hill
– ชม Sangam View Point เป็นทางผ่าน ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกันในหุบเหวข้างล่าง คือแม่น้ำสินธุ (Indus river) กับแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar river) จะเห็นสีแม่น้ำเป็นตัดกันเป็นสองสีได้อย่างชัดเจน และมีภูเขาสีน้ำตาลเป็นฉากหลังที่งดงามแปลกตา
– ชมวัดลิกกี้ (Likir Monastery) ซึ่งอยู่หางจากเมืองเลห์ 53 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก วัดนี้มีการสร้างและตบแต่งแบบสไตล์ทิเบต เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ศต.14 และได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในศต.18 และยังเป็นโรงแรียนสอนลามะน้อยอีกด้วย บางครั้งจะเห็นลามะน้อยพากันออกมาวิ่งเล่นอยู่ในรั้วโรงเรียน วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่มีความสูงถึง 25 เมตร ประทับนั่งอยู่กลางแจ้งสามารถมองเห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล
เที่ยงๆ :  พาไปทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Sun & Moon Garden ที่เมือง Khalsi
บ่ายๆ : พาท่านนั่งรถต่อ ไปชมวัด Lamayuru กันค่ะ
ชมวัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) เป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดในลาดัก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa ซึ่งเป็นปราชน์พุทธชาวอินเดีย ซึ่งเดินทางมานั่งสมาธิในถ้ำเป็นเวลาหลายปี ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน ทำให้น้ำในทะเลสาบไหลออกไปจนกลายเป็นหุบลึกที่ล้อมรอบตัวอาราม ปัจจุบันเรียกว่าหุบเขา Lamayuru พอน้ำเหือดแห้ง ก็มองเห็นมีซากสิงห์โตอยู่ที่ก้นทะเลสาบ ท่านจึงสร้างอารามหลังแรกขึ้นชื่อ Singhe Ghang (Lion Mound) แต่บางตำนานกล่าวว่า วัด Lamayuru สร้างโดยกษัตริย์แห่งลาดักมาก่อนแล้วในศตวรรษที่ 10 พาไปไหว้พระในวัดและถ่ายรูป วิวสวยๆรอบๆวัด มองลงไปด้านล่างเห็นหมู่บ้าน Lamayuru จากมุมสูงสวยงามแปลกตา ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์

17.00 น.เดินทางถึงเมืองเลห์ ชมเจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่มีสีขาวตั้งอยู่บนยอดเขา สร้างโดยความร่วมมือของชาวพุทธญี่ปุ่นและชาวลาดักเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพของโลก และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 เมื่อปี คศ.1985 เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพุทธศาสนา ครบ 25 ศตวรรษ เป็นจุดที่สามารถเมืองเห็นวิวเมืองเลห์ได้ 360 องศา และเป็นจุดที่มีชื่อเสียงสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเลห์ เราจะไปให้ทันชมพระอาทิตย์ตกที่ Shanti stupa กันค่ะ
หลังจากพระอาทิตย์ตก พาไปทานมื้อเย็นในเมืองเลห์ แล้วพากลับที่พัก
วันที่ Leh – Khardung La Pass – Nubra valley – Sand Dune – Hundar Valley
08.00 น.หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่ Khardung la Pass ระยะทาง 39 กิโลเมตร ก่อนออกจากเลห์แวะซื้อน้ำดื่มและผลไม้ไว้ทานระหว่างการเดินทาง
Khardung La Pass ได้ชื่อว่าเป็นทางหลวงที่รถผ่านได้ที่สูงที่สุดในโลก คือสูง 5,602 เมตรจากระดับน้ำทะเล (18,380 ฟุต)  ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเลห์ เป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านไปสู่หุบเขานูบร้า ซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นเส้นทางของกองคาราวานที่เชื่อมต่อไปยังจีนซึ่งทางการอินเดียสร้างเป็นทางให้รถวิ่งได้ในปีค.ศ.1988 ในฤดูหนาว Khardung La Pass จะถูกปกคลุมไปด้วยกองหิมะสูงมหึมาเพราะตั้งอยู่ที่สูงถึงระดับ 5602 เมตร ต้องนั่งรถข้ามภูเขาหลายๆลูก ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ด้วยความสูงชันและความแคบของถนนทำให้การขับรถยิ่งยากมากขึ้น เราจะหยุดให้ลงไปถ่ายรูปที่ Khardung La Pass ประมาณ 15 นาที
บ่ายแก่ๆ  : ถึงหมู่บ้าน North Pulu ซึ่งมีร้านอาหารอยู่หลายแห่ง จอดทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารระหว่างทาง แล้วเดินทางกันต่อรถจะวิ่งไต่ระดับต่ำลงสู่หุบเขานูบร้า

Nubra Valley หมายถึง หุบเขาแห่งดอกไม้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ห่างจากเมืองเลห์ 150 กม. เป็นจุดที่ แม่น้ำ Shyok กับ แม่น้ำ Nubra หรือ Siachen ไหลมาบรรจบกัน ทำให้เกิดหุบเขาขนาดใหญ่ แบ่งส่วนที่เป็นอาณาเขตของแคว้นลาดักกับเทือกเขา Karakoram อย่างชัดเจน Nubra valley ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาแห่งดอกไม้ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นในลาดัก มีความสูงเฉลี่ย 3 พันเมตร (1 หมื่นฟุต) ซึ่งถือว่าเป็นแถบที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดในลาดัก พืชพรรณธรรมชาติจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะดอกไม้ป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติในแถบนี้ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ดอกไม้ป่าจะออกดอกเบ่งบานสวยงามหลากหลายสายพันธุ์และสีสัน ชมวัด Diskit Gonpa ก่อนไปเข้าที่พัก
Diskit Gonpa เป็นวัดใหญ่ เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้ามีอายุกว่า 500 ปี เป็นวัดในนิกายเกลุกปะหรือนิกายหมวกเหลือง วัดนี้จะแบ่งออกเป็นสองแห่งตั้งอยู่อยู่ไม่ไกลกัน คือวัดวัดดิสกิตเก่า (Old Diskit Gonpa) และวัดดิสกิตใหม่ (New Diskit Gonpa) โดยวัดดิสกิตเก่าจะสร้างอยู่บนยอดเขาอยู่ติดหน้าผา ด้านหลังเป็นน้ำตกดิสกิตซึ่งอยู่สูงมากจนมองไม่เห็นจุดที่ปลายน้ำตกลงไปสู่ธารน้ำด้านล่าง แต่ได้ยินเสียงน้ำตกดังแรงมาก ส่วนวัดดิสกิตใหม่เป็นวัดที่สร้างอยู่ตรงกลางหุบเขานูบร้าและประดิษฐานองค์พระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่ สวยงามโดดเด่นมองเห็นแต่ไกลทั่วทั้งหุบเขานูบร้า มองลงมาจากจุดชมวิวด้านบนของวัดดิสกิตเก่าก็สวยงามโดดเด่นไม่แพ้กันจนต้องถ่ายรูปกันรัวๆ เราจะไปที่วัดดิสกิตเก่าก่อน จุดนี้สมาชิกต้องเดินขึ้นบันไดไปสูงพอได้หยุดหอบ ระหว่างทางจะมีกงล้อมนตราให้เราแวะหมุนเพื่อพักเหนื่อยไปในต้ว พอหายเหนื่อยก็เดินขึ้นบันไดไปต่อ แต่พอไปถึงด้านบนของวัด มองลงไปเห็นวิวสวยๆของหุบเขานูบร้าที่มีภูเขาสีเงินเป็นฉากหลังแล้วท่านจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นก็เดินลงมาขึ้นรถพาไปไหว้พระและถ่ายรูปกับพระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่ที่วัดดิสกิตใหม่

บ่ายแก่ๆ :  ได้เวลาพอสมควรพาท่านเข้าที่พักที่หมู่บ้านฮุนดาร์ (Hundar) หรือหมู่บ้านธารน้ำไหล เก็บสัมภาระ ดื่มชา ทานของว่าง ทานผลไม้กัน ก่อนที่จะพาออกไปขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกดินกัน
17.00 น. พานั่งรถออกไปขี่อูฐ ถ่ายรูปกับวิวสวยๆกันที่ทะเลทราย Sand Dune ตั้งอยู่ในหุบเขา Nubra เป็นทะเลทรายบนที่สูงในเขตหนาว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกเช่น ทะเลทรายอะตะกามาในประเทศชิลี อุณหภูมิในเวลากลางวันไม่สูงมาก แต่จะหนาวเย็นมากในเวลากลางคืน และมีหิมะตกในฤดูหนาว ที่นี่จะมีชาวบ้านนำอูฐมารับจ้างให้นักท่องเที่ยวขี่เดินเล่นและถ่ายรูปกัน อูฐที่นี่เป็นอูฐสองหนอก ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกนี้ รอจนพระอาทิตย์ตกดิน ให้สมาชิกขี้อูฐ ถ่ายรูปกันประมาณ
15 นาที แล้วเดินเล่นถ่ายรูปกับวิวสวยๆรอบๆทะเลทราย Sand Dune กัน พอพระอาทิตย์ตกก็
พากลับโรงแรม
19.00 น.ออกมาทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรมวันที่ 4 :  NUBRA VALLEY – PANGONG LAKE – CHANGLA PASS – LEH
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกัน ที่ห้องอาหารของที่พัก เป็นอาหารเบาๆ ประเภท ชา กาแฟ นม ไข่เจียว โรตี พุดดิ้ง โรตี
08.00 น.ได้เวลาอำลาหมู่บ้านฮุนดาร์ ออกเดินทางไปยังทะลสาบแปงกอง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถนนหนทางไม่ค่อยดี บางช่วงขรุขระเนื่องจากการกัดเซาะของหิมะก่อนหน้านี้ รถจึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก แต่วิวระหว่างทางสวยงาม จนอาจจะเสียเวลากกับการหยุดถ่ายรูปบ้าง
เที่ยงๆ : ถึงทะเลสาบแปงกอง พาไปทานมื้อเที่ยงที่เต๊นท์ริมทะเลสาบ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย
ทะเลสาบแปงกอง (PANGONG LAKE) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 2 ประเทศ คืออยู่ในจีน (ทิเบต) 70% และอยู่ในอินเดีย 30% มีเนื้อที่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร และถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม (SALT LAKE) ที่อยู่สูงที่สุดในโลกคือ 4,267 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความยาว 40 ไมล์และกว้างถึง 2-4 ไมล์ เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงาม ในยามที่ท้องฟ้าแจ่มใสและแดดจ้า ประกอบกับมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง ทำให้น้ำในทะเลทสาบแห่งนี้มีสีเขียวอมฟ้าหรือสีเทอร์คอยซ์ในตอนกลางวัน และในช่วงเย็นสีของน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในช่วงเช้าจะเป็นสีฟ้าอ่อน เป็นทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ในระดับสูง ดังนั้นสัตว์น้ำจำพวกปลากุ้งหอยจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
บ่ายสอง : ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์ แวะถ่ายรูปที่ Changla Pass ซึ่งเป็นพาสทางรถยนต์ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก สูง 5360 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในฤดูหนาวที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนามากจนรถยนต์ไม่สามารถผ่านไปได้ ดังนั้นเส้นทางนี้จะถูกบล็อคด้วยกองหิมะหนาๆ เราออกเดินทางกันต่ออีก 3 ชั่วโมง
ค่ำๆ  :  ถึงเเมืองเลห์ พาไปแวะทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในย่าน Main Bazaar หลังจากนั้นพากลับโรงแรม

วันที่ 5 : เลห์ – พระราชวังเลห์ – เดลี – อัครา
07.00 น.ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
07.30 น.พานั่งรถไปชมพระราชวังเลห์ (Leh Palace) เป็นพระราชวังที่ใช้การต่อสร้างยาวนานถึง 4 ยุคกษัตริย์ ตั้งแต่ยุคกษัตริย์องค์ที่ 6 Tsewang Namgyal จนแล้วเสร็จในยุคของกษัตริย์องค์ที่ 9 Sengge Namgyal ซึ่งได้รับฉายาในยุคนั้นว่าเป็น The Lion King) เพราะในช่วงที่ท่านครองราช ท่านได้ทำการสร้าง Leh palace ต่อจนเสร็จ รวมทั้งสร้าง Hemis Monastery และวัดอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก
10.30 น.เช็คเอ้าท์ นั่งรถตรงไปสนามบินเลห์
11.30 น.เช็คอินน์กับสายการบิน Spicejet โหลดสัมภาระ แล้วไปรอขึ้นเครื่อง (ทานมื้อเที่ยงที่สนามบินระหว่างรอขึ้นเครื่อง เป็นอาหารแพ็คในกล่อง
12.20 น.ได้เวลาอำลาเมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท SG-124 เหินฟ้าบินสู่สนามบินเดลี Terminal 1C ซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศที่เมืองนิวเดลี
13.40 น.บินถึงสนามบินเดลี รับสัมภาระแล้วพาไปขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคลที่เอเจ้นส่งมารับ ออกเดินทางไปยังเมืองอัครา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
18.30 น.ถึงเมืองอัครา พาไปเช็คอินที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ทัชมาฮาล เก็บสัมภาระ
19.30 น.พาไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในเมืองอัครา แล้วพากลับโรงแรม
วันที่  6 :  ชมทัชมาฮาล – อัคราฟอร์ด – ชัยปุระ
หลังอาหารเช้า พาไปชมทัชมาฮาล (Taj Mahal) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ เกิดจากความรักและความเศร้าที่สุดแสนจะคณานาของจักรพรรดิชาห์ ชหาน กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุลพาเดินเท้าไปขึ้นรถบริการนักท่องเที่ยวไปส่งที่เกท ไกด์จะไปซื้อตั๋วแล้วพาเข้าเกทไปชมทัชมาฮาลกันค่ะ (อย่าลืมนำพาสปอร์ตสปอร์ตไปด้วยนะคะ)
ให้เวลาสมาชิกเดินชมและถ่ายรูปกันสัก 2 ชั่วโมง
10.00 น.พานั่งรถต่อประมาณ 15 นาที ไปชมป้อมอัครา (Agra Fort) หรือป้อมแดง ซึ่งเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สร้างขึ้นโดยใช้เวลาที่ยาวนานถึงสามยุคของกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล มีลักษณะเป็นกำแพงสองชั้น และป้อมอาคารทางเข้าสี่ทิศ ภายในประกอบด้วยพระราชวัง มัสยิด สวนดอกไม้ สนาม และอาคารทางเดินโดยรอบทั้งอาคารหินทรายสีแดง พาชมความงดงามทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งสวนสวยๆภายในป้อม ให้สมาชิกเดินชมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันประมาณ 2 ชม. ครึ่ง แล้วพาออกมาด้านนอกป้อม ให้สมาชิกได้ช๊อปปิ้งซื้อสินค้าที่ระลึกกัน12.30 น.พาไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารใกล้ๆป้อมอัครา
14.00 น.นั่งรถไปเมืองชัยปุระ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร ก่อนถึงเมืองชัยปุระ พาแวะชม Chand Baori Sepwell บ่อน้ำขั้นบันไดแห่งราชาสถานบ่อน้ำนี้ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอับบานเนรีในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย นับเป็นบ่อน้ำที่ลึกและใหญ่ที่สุดในอินเดีย เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 หรือพันกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นแคว้นราชาสถาน ของอินเดียเป็นแคว้นที่ร่ำรวยมาก เพราะเป็นเส้นทางสายสำคัญในการเดินทางไปตะวันออกกลาง ที่เป็นทะเลทรายแห้งแล้งมาก กษัตริย์ Chanda จึงรวบรวมชาวเมืองมาช่วยกันสร้างบ่อน้ำนี้ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตน้ำ และกักเก็บน้ำไว้ใช้ โดยการขุดบ่อที่ลึกถึง 100 ฟุตสูงขนาดตึก 13 ชั้น มีจำนวนบันไดทั้งหมด 3500 ขั้น และออกแบบทุกส่วนทุกด้านของบ่อเป็นบันไดเชื่อมถึงกันทั้งหมดเพื่อให้คนเดินลงไปตักน้ำได้พร้อมกันได้หลายคน และสามารถตักน้ำจากบ่อมาใช้ได้อย่างสะดวก บ่อน้ำแชนเบารี ถือเป็นแบบอย่างหนึ่งที่แสดงถึงการวางแผนและการจัดการที่ดีของคนอินเดียในยุคโบราณที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียที่มีความยิ่งใหญ่ทั้งขนาดและการออกแบบก่อสร้างเลยทีเดียว และที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Batman อันโด่งดังอีกด้วย หลังจากนั้นออกเดินทางต่ออีกประมาณหนึ่งชั่วโมงสู่เมืองไจเปอร์ หรือเมืองชัยปุระ
19.00 น.ถึงเมืองชัยปุระ พาเข้าเช็คอินที่โรงแรม เก็บสัมภาระ แล้วออกมาทานมื้อเย็นกันที่ห้องอาหารของโรงแรม

วันที่ 7 : Hawa Mahal – Jantar Mantar – City Palace – Nahargarh Fort
เช้า :
ทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.00 น.
พาไปชม พระราชวังสายลมHawa Mahal หรือ Palace of the Winds สร้างขึ้นในปี คศ.1799โดยมหาราชาไสว ประตับซิงห์เพื่อใช้เป็นพระราชวังที่ประทับพระราช วังแห่งนี้มีความสูงถึง 15 เมตร มี 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายสีแดงอมชมพู  มีลักษณะคล้ายฉากในโรงละครมากกว่าที่จะเป็นพระราชวัง บานหน้าต่างประดับประดาไว้ด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา ใช้เป็นที่สำหรับสตรีในวังในสมัยนั้น มองผ่านทางช่องหน้าต่างชมวิถีความเป็นอยู่ของคนนอกวัง แต่จากภายนอกจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านใน หน้าต่างทุกบานจะกรุเป็นช่องตามหน้ามุขซื่งรวมกันได้ถึง 953 บาน ในแต่ละช่องจะมีมุขระเบียงและหลังคาเพื่อระบายลม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) หรือพระราชวังสายลม เราจะให้สมาชิกถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าพระราชวังนะคะ  เพราะจะได้รูปที่สวยงามกว่าการเข้าไปถ่ายในด้านในของพระราชวัง
หมายเหตุ : สมาชิกสามารถขึ้นถ่ายรูปบนดาดฟ้าของร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังสายลมได้ที่ร้าน Wind view cafe หรือTattoo Cafe & Lounge แต่ต้องสั่งกาแฟมาดื่มกันนะคะ เค้าห้ามขึ้นไปถ่ายรูปเฉยๆ
10.00 น.
ชม หอดูดาวจันตาร์ มันตาร์ (Jantar Mantar) ซึ่งจัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองชัยปุระ โดยได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.2010สร้างและคิดค้นขึ้นโดยมหาราชาสะหวายจัยสิงห์ ที่ 2 พระองค์มีความสนพระทัยและพระปรีชาในเรื่องดาราศาสตร์ จึงรับสั่งให้สร้างหอดูดาวแห่งนี้ขึ้นมาพร้อมๆกับการก่อสร้าง City Palace เพื่อใช้สังเกตุดูความเคลื่อนไหวของพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาว โดยหอดูดาวจันตาร์ มันตาร์แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในสมัยโบราณ เพราะถูกใช้คำนวณฤกษ์ยามในการออกศึกทำสงครามนั่นเอง หลังจากนั้นพาเดินขามถนนไปชม City Palace พระราชวังถูกสร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตและหินอ่อน ภายในประดับประดาด้วยกระจกและแก้วหลากสี นับเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นราชาสถาน สร้างขี้นในสมัยมหาราชสวายจัย ซิงห์ที่ 2 หลังจากนั้นก็ได้รับการสร้างต่อเติมจากมหาราชาของเมืองชัยปุระองค์ต่อๆมา พระราชวังนี้มีสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างราชปุตกับโมกุล เนื่องจากช่วงแรกเริ่มของการก่อสร้าง ราชวงศ์โมกุลได้เข้ามามีอิทธิพลต่อราชราชสถานแล้ว  โดยปัจจุบัน City Palace ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมในนามของพิพิธภัณฑ์สะหวายมานสิงห์ (Sawai Man Singh Museum) ถึงแม้มหาราชาไม่ได้พำนักอยู่แล้วแต่ City Palace แห่งนี้ก็ยังถือเป็นสมบัติส่วนพระองค์ ชาวเมืองชัยปุระบางส่วนก็ยังนับถือพระองค์อยู่แม้พระองค์จะไม่มีอำนาจใดๆก็ตาม
หมายเหตุ ที่ City Palace เราจะซื้อบัตรให้สมาชิกเข้าชมแค่ห้องภายนอกนะคะ เช่นประตูนกยูงทั้ง 4 บาน ส่วนห้อง Private สีฟ้า ถ้าสมาชิกต้องการจะเข้าชม ต้องซื้อตั๋วเข้าไปอีกต่างหาก ค่าตั๋วคนละ 3500 รูปี โดยมีเวลาเข้าชมแค่ 1 ชั่วโมง

เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารในเมืองชัยปุระ
บ่าย  : พาไปชม Nahargarh Fort ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงเขา เพื่อปกป้องคุ้มครองเมืองจากการรุกรานของข้าศึก ด้านบนป้อมจะเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นความสวยงามของเมืองจัยเปอร์
เย็นๆ :  พาไปช๊อปปิ้งที่ Bapu Bazaar ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าที่หลากหลายของเมืองชัยปุระ  ใครที่ต้องการซื้อของฝากคนทางบ้าน ต้องไม่พลาด
ค่ำๆ : พากลับโรงแรม ทานมื้อเย็นที่โรงแรม แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันที่ 8  :  Amber Fort – Jal Mahal – Albert Hall Musuem
08.00 น.
หลังอาหารเช้า พาไปขึ้นรถจี๊ปขึ้นไปชมพระราชวังแอมเบอร์ (Amber Fort) ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาสูง สร้างขึ้นโดยมหาราชาแมนสิงห์ ในปีค.ศ.1592 และเสร็จสิ้นในสมัยของมหา ระหว่างทางท่านจะเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสองข้างทาง มีพระราชวังฤดูร้อนและพระราชวังฤดูหนาวจะประดับด้วยพลอยหลากสีสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ห้องที่ประทับในพระราชวังฤดูร้อนที่งดงามนี้เป็นการจำลองความงามของท้องฟ้ายามราตรี จากนั้นนำท่านเข้าชมพระราชวังหรือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ได้เวลาพอสมควรพากลับลงมาข้างล่าง นั่งรถเข้าเมือง แวะถ่ายรูปที่ Jal Mahal หรือพระราชวังสายน้ำ ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาบ Man Sagar สร้างขึ้นโดยมหาราชาสะหวายจัยสิงห์ ที่ 2 ด้วยการผสมผสานสถาปัตยกรรมราชปุตและโมกุล มีความประณีตสวยงาม สิ่งที่โดดเด่นเห็นได้ชัดคือเป็นมีเทือกเขา Nahargarh เป็นฉากหลังที่สวยงาม ตัวพระราชวังมี 5 ชั้น แต่ช่วงที่น้ำขึ้นสูง ชั้นที่ 1 ถึง 4 จะจมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นแค่ชั้นที่ 5 ที่อยู่บนสุด กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สาวยงามพลาดไม่ได้
เที่ยง : ทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารในจัยเปอร์
บ่ายๆ : พาไปชม พิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในราชสถาน Albert Hall Museum จัดแสดงงานศิลปะและสิ่งประดิษฐ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ตัวอาคารเคยเป็นวังเก่าสร้างจากหินอ่อนสีขาวครีม สวยงาม โดยเฉพาะยามที่เปิดไฟตอนกลางคืนยิ่งสวยงามโดดเด่นมาก เหมาะสำหรับแวะไปถ่ายรูปแสงสีไฟงามๆ
เย็นๆ : พากลับโรงแรม ทานมื้อเย็นกัน แล้วเตรียมจัดกระเป๋า
23.00 น.เช็คเอ้า นั่งรถไปสนามบินจัยเปอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
24.00 น.ถึงสนามบินจัยเปอร์ เช็คอินกับสายการบิน Thai Smile โหลดสัมภาระ ผ่านตม.แล้วไปรอขึ้นเครื่อง

วันที่ 9  : จัยเปอร์ – กรุงเทพ สุวรรณภูมิ
02.30 น.
ได้เวลาบินกลับเมืองไทย ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที
08.15 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพทุกท่าน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าช่วงเวลา 8 วันที่ได้ใช้ชีวิต กินเที่ยว สนุกสนานด้วยกัน คงทำให้ท่านได้รับความประทับใจบ้างไม่มากก็น้อยและให้เราได้มีโอกาสรับใช้ท่านในทริปต่อๆไปอีกนะคะ ขอขอบคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่านที่ใช้บริการค่ะ

อัตราค่าทริป
 
คนละ  26500 บาทสำหรับกรุ๊ป 12 คน ไม่รวมตั๋ว 4 ขา
หมายเหตุ :  สมาชิกไม่ถึง 8 ท่าน ขออนุญาตยกเลิกทริป

อัตรานี้รวม
ค่าธรรมเนียมวีซ่าอินเดีย (ทำวีซ่าแบบ E-Tourist Visa) ไม่ต้องไปโชว์ตัว
– ค่าอาหารหลักวันละ 3 มื้อ รวมชา กาแฟ ขนมขบเคี้ยวและผลไม้
– ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัด-พระราช ทัชมาฮาล ป้อมปราการต่างๆ
– ค่าน้ำดื่มบรรจุขวดวันละ 1 ขวดลิตร ตลอดการเดินทาง
– ที่พัก ห้องละ 2-3 คนมีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่นอาบ (ที่พักระดับปานกลาง จะไม่หรูหรา แต่เน้นความ    สะอาดและปลอดภัยและสวยงามตามธรรมชาติ)
– ค่ารถ นำเที่ยว ตลอดเส้นทาง รวมทั้งค่าเพอร์มิต
– ไกด์นำทริปจากเมืองไทย 1 คน
– ค่าประกันภัยการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท
อัตรานี้ไม่รวม
– ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศขาไป กรุงเทพ-เดลี Thai Airways
– ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศขากลับ จัยเปอร์-ดอนเมือง Thai Smile
– ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศของอินเดีย ไป-กลับ เดลลี-เลห์ Spicejet
– ค่าทิปพนักงานขับรถ เด็กยกกระเป๋า พ่อครัว เด็กเสิร์ฟ
– ค่าน้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล และขนมต่างๆที่ท่านสั่งมาทานเอง
การจองทริป
โอนเงินค่าตั๋วตามราคาจริง และโอนค่ามัดจำทริปคนละ 5000 บาท โดยเราจะเช็คค่าตั๋วเครื่องบินให้สมาชิกก่อน และให้โอนในวันจองทริป พร้อมสแกนหน้าพาสปอร์ตส่งมาทางอีเมลหรือทางไลน์ ส่วนค่าทริปที่เหลือให้จ่ายก่อนที่จะทำวีซ่า (ทำวีซ่าแบบ E Tourist Visa) ซื่งลูกค้าไม่ต้องไปโชว์ตัวค่ะ เราจะยื่นวีซ่าออนไลน์ให้ลูกค้าเอง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศิริพร  Tel : 098-2725406, 092-4341166,
ไลน์ ID : ssp061962   ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ 11/06268

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments