ทริปนี้ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เที่ยวแค่ในเมืองเลห์ ลาดัก รวม 5 วันเต็ม ปรกติทัวร์ที่เราเคยจัดอยู่ จะพาไปเที่ยวเมืองอัครา ชมทัชมาฮาลและป้อมอัคราด้วย แต่มีสมาชิกหลายท่านเคยไปชมทัชมาฮาลมาแล้ว เราจึงจัดทริประยะสั้นไว้เป็นทางเลือกให้สมาชิก
ชมความงดงามแปลกตาของเทือกเขาสีน้ำตาลแดงและเทือกเขาสีเงินที่ขึ้นเรียงรายสลับซับซ้อนนับจำนวนยอดเขาไม่ถ้วน ยอดเขาแหลมๆถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวเหมือนสวมหมวกแก๊ป อากาศหนาวเย็นตลอดปี ชมทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์สวยงาม พาไปชิมแอ๊ปปริคอตสดๆ ที่ปลูกเรียงรายกันทั่วเมืองลาดัก ชวนสัมผัสไปวัฒนธรรมของชาวลาดัก ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับเขตปกครองตนเองทิเบต ทั้งวัดวาอาราม พระราชวังโบราณ สถานที่ราชการ บ้านเรือน โรงแรม ตลอดจนนิสัยของชาวลาดัก ผู้คนน่ารักรักสงบ ใจเย็น ยึดมั่นในพุทธศาสนา นับถือท่านดาไลลามะ จนลาดักได้รับสมญานามว่าเป็น ทิเบตน้อย”  ที่นั่นแทบจะไม่เคยมีอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นกับประชาชน ชวนท่านไปสัมผัสหิมาลัยที่ปลายขอบฟ้ากับเราสิคะ 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ศิริพร  : 092-4341166, 098-2725406
ไลน์ ID : ssp061962 ใบอนุญาตนำเที่ยวเลขที่ 11/11792  (EASY ON TOUR)

กำหนดวันออกทริป :

25 – 30 กรกฏาคม 2568  : กลับถึงเมืองไทย เช้าตรู่ 31 กรกฏาคม
09 – 14 ตุลาคม 2568 : กลับถึงเมืองไทย เช้าตรู่ 15 ตุลาคม
หมายเหตุ : ถ้ามีกรุ๊ปส่วนตัว 5 คนขึ้นไป สามารถกำหนดวันเดินทางเองได้

โปรแกรมทัวร์

วันที่ 0 :  กรุงเทพ – เดลี
 20.30 น. พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินน์ของสายการบินไทย
เช็คอิน โหลดสัมภาระ ผ่านพิธีทางตม.และผ่านเครื่องสแกน ไปรอเรียกขึ้นเครื่อง
23.15 น. เหินฟ้าสู่เดลลีไฟร้ท TG 331 ใช้เวลาบิน 4 ชม.ครึ่ง เชิญหลับพักผ่อน (ก่อนขึ้นเครื่อง ไกด์จะนำยาไดอะม๊อกซ์ให้ทานเพื่อป้องกันอาการแพ้ความสูง)
วันที่ 1 : เดลี – เลห์ – วัดเฮมิส – วัดติ๊กเซ่ – เจดีย์สันติภาพ
02.15 น. ถึงสนามบินอินทิรา คานธี เดลี ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 1 ชม. 30 นาที เข้าคิว รอสแตมป์วีซ่า พร้อมกับพิธีตรวจคนเข้าเมือง แล้วออกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว รอรับสัมภาระจากสายพาน พาไปแลกเงินรูปีภายในสนามบิน (สำหรับท่านที่ยังไม่ได้แลกเงินมาจากเมืองไทย) แล้วพาเดินเท้าไปยังสนามบินภายในประเทศ Terminal 2 ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน (เดินไม่ถึง10 นาที)
04.00 น. เช็คอินกับสายการบินภายในประเทศ Indigo โหลดสัมภาะ แล้วไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
05.40 น. ได้เวลาบินสู่เมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท 6E 6274 ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 20 นาที
07.00 น. ถึงสนามบินเลห์ ช่วยกันกรอกเอกสารเข้าเมือง รับสัมภาระ แล้วพาไปขึ้นรถยนต์ที่เอเจ้นส่งมารับ เดินทางสู่ที่พักในเมืองเลห์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นทานมื้อเที่ยงกันที่บ้านพัก แล้วปล่อยให้พักผ่อนสัก 3-4 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพให้คุ้นชินกับความสูง
13.30 น. ตื่นมาทานมื้อเที่ยงกัน แล้วเตรียมตัวออกไปเที่ยวในเมืองเลห์ วันแรกจะพาไปใกล้ๆก่อน
พาไปชมวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 45 กม.ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเลห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1630 ในช่วงสมัยกษัตริย์ Sengge Namgyal เป็นวัดในนิกายหมวกแดง ถือเป็นวัดที่ใหญ่และร่ำรวยที่สุดในแคว้นลาดัก ปกติวัดนี้จะจัดเทศกาลเฮมิสหรือเทศกาลหน้ากากขึ้นในวันที่ 9 และ 10 เดือน 5 ตามปฏิทินของชาวทิเบตจุดประสงค์ของการจัดงานคือต้องการระลึกถึงวันเกิดของท่าน Rinpoche หรืออีกนามหนึ่ง Padmasambhava ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธนิกายตันตระมาเผยแพร่ในทิเบต ระหว่างทางท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับใบไม้สีเหลืองทองสวยงามของต้นป๊อปล่าและต้นวิลโล่ว์ ซึ่งในเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีพาท่านเข้าไปกราบพระในวัดกัน แล้วปล่อยให้ถ่ายรูปกันประมาณ 1 ชั่วโมง
ชมวัดติ๊กเซ่ (Thiksey Monastery) อยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางใต้ 17กม. วัดนี้ตั้งอยู่บนเนิน เขาอยู่เหนือแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปีคศ.1430 เป็นวัดในนิกาย Gelugpa หรือนิกายหมวกเหลือง คำว่า”เกลุก” แปลว่าความดีที่เป็นกุศล ท่านดาไลลามะองค์ที่ 14 และองค์ปันเซนลามะก็เป็นพระในนิกายหมวกเหลืองเช่นกัน
เย็นๆ พาไปชมเจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่มีสีขาวตั้งอยู่บนยอดเขา ห่างจากเมืองเลห์ออกไป 2 กม. สร้างโดยความร่วมมือของชาวพุทธญี่ปุ่นและชาวลาดักเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพของโลก และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 เมื่อปี คศ.1985 เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพุทธศาสนา ครบ 25 ศตวรรษ เป็นจุดที่สามารถเมืองเห็นวิวเมืองเลห์ได้ 360 องศา และเป็นจุดที่มีชื่อเสียงสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเลห์ เราจะไปให้ทันชมพระอาทิตย์ตกที่ Shanti stupa กันค่ะ หลังจากพระอาทิตย์ตก พาไปทานมื้อเย็นในย่าน Main Market ในเมืองเลห์ แล้วพากลับที่พัก

วันที 2  :  Magnetic Hill – Sangam View Point – วัด Likir  – วัด Alchi  – วัด Lamayuru 
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.00 น. หลังอาหารเช้า พาสมาชิกเดินทางไปเมือง Ule (70 กม.จากเมืองเลห์) แวะที่ Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill เป็นสถานที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์  ถ้าจอดรถไว้ตรงจุดนั้นแล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่ารถกำลังไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา จริงๆแล้วถนนมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขาที่นี่เลยได้ชื่อว่า Magnetic Hill ลงไปถ่ายรูปกันสักพัก แล้วออกเดินทางกันต่อ รถจะวิ่งผ่าน Sangam View Point ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกันในหุบเหวข้างล่าง คือแม่น้ำสินธุ (Indus river) กับแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar river) จะเห็นสีแม่น้ำเป็นตัดกันเป็นสองสีได้อย่างชัดเจน และมีภูเขาสีน้ำตาลเป็นฉากหลังที่งดงามแปลกตา นั่งรถต่อไปชมวัดลิกกี้ (Likir Monastery) ซึ่งอยู่หางจากเมืองเลห์ 53 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก วัดนี้มีการสร้างและตบแต่งแบบสไตล์ทิเบต เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ศต.14 และได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในศต.18 และยังเป็นโรงแรียนสอนลามะน้อยอีกด้วย บางครั้งจะเห็นลามะน้อยพากันออกมาวิ่งเล่นอยู่ในรั้วโรงเรียน วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่มีความสูงถึง 25 เมตร ประทับนั่งอยู่กลางแจ้งสามารถมองเห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล จากนั้นพาไปชมวัดอัลชิ (Alchi Gonpa) เป็นวัดใหญ่และเก่าแก่มาก มีอายุเกือบพันปี ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอัลชิ
เที่ยงๆ พาไปทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Sun & Moon Garden ที่เมือง Khalsi ซึ่งเป็นร้านอาหารที่สร้างอยู่กลางสวนแอ๊ปเปิ้ลแอ๊ปปริคอตซึ่งจะออกผลสุกเต็มต้นในระหว่างเดือน กค.- กย. ช่วงที่เราเดินทางไป อาจจะมีหลงเหลือให้เห็นบ้าง บรรยากาศร่มรื่นด้วยเงาไม้อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย ไกด์ไปทานมาหลายครั้งแล้วค่ะบ่ายๆ : พาท่านนั่งรถต่อ ไปชมวัด Lamayuru กันค่ะ
วัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) เป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดในลาดัก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa ซึ่งเป็นปราชน์พุทธชาวอินเดีย ซึ่งเดินทางมานั่งสมาธิในถ้ำเป็นเวลาหลายปี ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน ทำให้น้ำในทะเลสาบไหลออกไปจนกลายเป็นหุบลึกที่ล้อมรอบตัวอาราม ปัจจุบันเรียกว่าหุบเขา Lamayuru พอน้ำเหือดแห้ง ก็มองเห็นซากสิงโตอยู่ที่ก้นทะเลสาบ ท่านจึงสร้างอารามหลังแรกขึ้นชื่อ Singhe Ghang (Lion Mound) แต่บางตำนานกล่าวว่า วัด Lamayuru สร้างโดยกษัตริย์แห่งลาดักก่อนแล้วในศตวรรษที่ 10 พาไปไหว้พระในวัดและถ่ายรูป วิวสวยๆรอบๆวัด มองลงไปด้านล่างเห็นหมู่บ้าน Lamayuru จากมุมสูงสวยงามแปลกตา ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์

สมควรแก่เวลา พานั่งรถกลับเมืองเลห์ หลังจากนั้นพาไปทานมื้อเย็นในย่าน Main Market ในเมืองเลห์ แล้วพากลับที่พัก

วันที่ 3 : Leh – Khardung La Pass – Nubra valley – Sand Dune – Hundar
07.00 น. ทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม แล้วเตรียมเสื้อผ้า เพื่อไปค้างคืนที่หมู่บ้าน Hundar 1 คืน ที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมในเมืองเลห์ เพราะเราจะกลับมาพักที่เดิมอีกครั้ง
08.00 น. ออกเดินทางสู่ Khardung la Pass ระยะทาง 39 กิโลเมตร ก่อนออกจากเลห์แวะซื้อน้ำดื่มและผลไม้ไว้ทานระหว่างการเดินทาง

Khardung La Pass ได้ชื่อว่าเป็นทางหลวงที่รถผ่านได้ที่สูงที่สุดในโลก คือ 5,602 m.(18,380 ฟุต) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเลห์ เป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านไปสู่หุบเขานูบร้า ซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นเส้นทางของกองคาราวานที่เชื่อมต่อไปยังจีนซึ่งทางการอินเดียสร้างเป็นทางให้รถวิ่งได้ในปีค.ศ.1988 ในฤดูหนาว Khardung La Pass จะถูกปกคลุมไปด้วยกองหิมะสูงมหึมาเพราะตั้งอยู่ที่สูงถึงระดับ 5602 เมตร ต้องนั่งรถข้ามภูเขาหลายๆลูก ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ด้วยความสูงชันและความแคบของถนนทำให้การขับรถยิ่งยากมากขึ้น ยิ่งตอนที่รถยนต์สิ่งสวนทางกัน ต้องหยุดรอให้รถด้านหน้าผ่านไปก่อน หรือรถด้านที่อยู่ติดภูเขา ต้องถอยรถให้อีกคันผ่านไปก่อน ทำให้เสียเวลาในการเดินทางพอประมาณ แต่ความงดงามของวิวระหว่างทางทำให้ลืมความลำบากไปชั่วขณะ เปิดโอกาสให้สมาชิกลงไปถ่ายรูป กับป้ายสัญลักษณ์ ทางรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก กันสัก 15 นาที หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ รถจะค่อยๆวิ่งไต่ระดับต่ำลงเรื่อยๆ เพราะเราได้ผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางนี้มาแล้วประมาณบ่ายแก่ๆ ถึงหมู่บ้าน North Pulu ซึ่งมีร้านอาหารอยู่หลายแห่ง จอดทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารระหว่างทาง แล้วเดินทางกันต่อรถจะวิ่งไต่ระดับต่ำลงสู่หุบเขานูบร้า


Nubra Valley หมายถึง หุบเขาแห่งดอกไม้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ห่างจากเมืองเลห์ 150 กม. เป็นจุดที่ แม่น้ำ Shyok กับ แม่น้ำ Nubra หรือ Siachen ไหลมาบรรจบกัน ทำให้เกิดหุบเขาขนาดใหญ่ แบ่งส่วนที่เป็นอาณาเขตของแคว้นลาดักกับเทือกเขา Karakoram อย่างชัดเจน Nubra valley ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาแห่งดอกไม้ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นในลาดัก มีความสูงเฉลี่ย 3 พันเมตร (1 หมื่นฟุต) ซึ่งถือว่าเป็นแถบที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดในลาดัก พืชพรรณธรรมชาติจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะดอกไม้ป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติในแถบนี้ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ดอกไม้ป่าจะออกดอกเบ่งบานสวยงามหลากหลายสายพันธุ์และสีสัน ชมวัด Diskit Gonpa ก่อนไปเข้าที่พัก
Diskit Gonpa เป็นวัดใหญ่ เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้ามีอายุกว่า 500 ปี เป็นวัดในนิกายเกลุกปะหรือนิกายหมวกเหลือง วัดนี้จะแบ่งออกเป็นสองแห่งตั้งอยู่อยู่ไม่ไกลกัน คือวัดวัดดิสกิตเก่า (Old Diskit Gonpa) และวัดดิสกิตใหม่ (New Diskit Gonpa) โดยวัดดิสกิตเก่าจะสร้างอยู่บนยอดเขาอยู่ติดหน้าผา ด้านหลังเป็นน้ำตกดิสกิตซึ่งอยู่สูงมากจนมองไม่เห็นจุดที่ปลายน้ำตกลงไปสู่ธารน้ำด้านล่าง แต่ได้ยินเสียงน้ำตกดังแรงมาก ส่วนวัดดิสกิตใหม่เป็นวัดที่สร้างอยู่ตรงกลางหุบเขานูบร้าและประดิษฐานองค์พระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่ มองดูสวยงามโดดเด่นเห็นแต่ไกลในหุบเขานูบร้า มองลงมาจากจุดชมวิวด้านบนของวัดดิสกิตเก่าก็สวยงามโดดเด่นไม่แพ้กันจนต้องถ่ายรูปกันรัวๆ เราจะไปที่วัดดิสกิตเก่าก่อน จุดนี้สมาชิกต้องเดินขึ้นบันไดไปสูงพอสมควร ระหว่างทางจะมีกงล้อมนตราให้เราแวะหมุนเพื่อพักเหนื่อยไปในต้ว พอหายเหนื่อยก็เดินขึ้นบันไดไปต่อ แต่พอไปถึงด้านบนของวัด มองลงไปเห็นวิวสวยๆของหุบเขานูบร้าที่มีภูเขาสีเงินเป็นฉากหลังแล้วท่านจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นก็เดินลงมาขึ้นรถพาไปไหว้พระและถ่ายรูปกับพระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่

บ่ายแก่ๆ ได้เวลาพอสมควรพาท่านเข้าที่พักที่หมู่บ้านฮุนดาร์ (Hundar) หรือหมู่บ้านธารน้ำไหล เก็บสัมภาระ แล้วดื่มชา ทานของว่าง ทานผลไม้กันก่อนที่ จะพาออกไปขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกดินกัน
17.00 น. พานั่งรถออกไปขี่อูฐ ถ่ายรูปกับวิวสวยๆกันที่ทะเลทราย Sand Dune ตั้งอยู่ในหุบเขา Nubra เป็นทะเลทรายบนที่สูงในเขตหนาว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกเช่น ทะเลทรายอะตะกามาในประเทศชิลี อุณหภูมิในเวลากลางวันไม่สูงมาก แต่จะหนาวเย็นมากในเวลากลางคืน และมีหิมะตกในฤดูหนาว ที่นี่จะมีชาวบ้านนำอูฐมารับจ้างให้นักท่องเที่ยวขี่เดินเล่นและถ่ายรูปกัน อูฐที่นี่เป็นอูฐสองหนอก ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกนี้่ อูฐที่นี่่มีเวลาทำงานคือ 9.00 – 12.00 น. แล้วมีเวลาพักกินหญ้า 3 ชั่วโมง แล้วจะเริ่มงานอีกครั้ง เวลา 15.00 – 18.00 น. ใครมาติดช่วงเวลาที่อูฐพักก็ต้องรอนะคะ ให้เวลาท่านขี่อูฐ และเดินเล่นถ่ายรูป รอบๆ Sand Dune กันสัก 1 ชั่วโมง รอจนพระอาทิตย์ตกดิน
18.30 น. พานั่งรถกลับที่พักทำธุระส่วนตัว อาบน้ำอาบท่ากันให้สดชื่นกัน ที่พักมีน้ำอุ่นให้อาบนะคะ
19.30 น. ออกมาทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน

วันที่ 4 :  NUBRA VALLEY – PANGONG LAKE – CHANGLA PASS – LEH
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกัน ที่ห้องอาหารของที่พัก เป็นอาหารเบาๆ ประเภท ชา กาแฟ นม ไข่เจียว โรตี พุดดิ้ง โรตี
08.00 น. ได้เวลาอำลาหมู่บ้านฮุนดาร์ ออกเดินทาง ไปยังทะลสาบแปงกอง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถนนหนทางไม่ค่อยดี รถจึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก แต่วิวระหว่างทางสวยงาม จนอาจจะเสียเวลากกับการหยุดถ่ายรูปบ้าง
เที่ยงๆ ถึงทะเลสาบแปงกอง พาไปทานมื้อเที่ยงที่เต๊นท์ริมทะเลสาบ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย

ทะเลสาบแปงกอง (PANGONG LAKE) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 2 ประเทศ คืออยู่ในจีน (ทิเบต) 70% และอยู่ในอินเดีย 30% มีเนื้อที่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร และถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม (SALT LAKE) ที่อยู่สูงที่สุดในโลกคือ 4,267 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความยาว 40 ไมล์และกว้างถึง 2-4 ไมล์ เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงาม ในยามที่ท้องฟ้าแจ่มใสและแดดจ้า ประกอบกับมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง ทำให้น้ำในทะเลทสาบแห่งนี้มีสีเขียวอมฟ้าหรือสีเทอร์คอยซ์ในตอนกลางวัน และในช่วงเย็นสีของน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในช่วงเช้าจะเป็นสีฟ้าอ่อน เป็นทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ในระดับสูง ดังนั้นสัตว์น้ำจำพวกปลากุ้งหอยจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เป็นเพียงแหล่งหากินของสัตว์ปีกบางประเภท เช่น เป็ด BRAHMINI และ ห่าน BAR-HEADED เป็นต้น ทางการอินเดียกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปชมทะเลสาบต้องทำการขออนุญาต โดยเอเย่นรถเช่าจะเป็นผู้ทำเพอร์มิตให้ นักท่องเที่ยวไม่สามารถจะเหมารถไปกันเองโดยไม่ได้ทำเพอร์มิตไปล่วงหน้านะคะ

14.00 น. ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์ แวะถ่ายรูปที่ CHANG LA PASS ซึ่งเป็นพาสทางรถยนต์ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก สูง 5360 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในฤดูหนาวที่ CHANG LA PASS จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนามากจนรถยนต์ไม่สามารถผ่านไปได้ ดังนั้นเส้นทางนี้จะถูกบล็อคด้วยกองหิมะหนาๆสูงเป็นภูเขาหิมะ ออกเดินทางกันต่ออีก 3-4 ชั่วโมง
  ค่ำๆ  : ทานอาหารเย็นกันในร้านอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วปล่อยให้เดินช๊อปปิ้งกันตามอัธยาศัย ใครเหนื่อยล้าไม่อยากช๊อปปิ้งก็กลับที่พักกันก่อนก็ได้

วันที่ 5 : เลห์ – พระราชวังเลห์ – พระราชวังเชย์ – เดลี – กรุงเทพ
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
07.30 น. พานั่งรถไปชมพระราชวังเลห์ (Leh Palace) เป็นพระราชวังที่ใช้การต่อสร้างยาวนานถึง 4 ยุคกษัตริย์ ตั้งแต่ยุคกษัตริย์องค์ที่ 6 Tsewang Namgyal จนแล้วเสร็จในยุคของกษัตริย์องค์ที่ 9 Sengge Namgyal ซึ่งได้รับฉายาในยุคนั้นว่าเป็น The Lion King) เพราะในช่วงที่ท่านครองราช ท่านได้ทำการสร้าง Leh palace ต่อจนเสร็จ รวมทั้งสร้าง Hemis Monastery และวัดอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก
ไปต่อกันที่ Shey Palace : พระราชวังเชย์ เป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งลาดักห์ มีอายุเกิน 500 ปี กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง มีพระอารามที่ประดิษฐานพระศากยมุณีที่สูงเท่าตึก 3 ชั้น
11.30 น. พาไปทานมื้อเที่ยงที่ภัตตาคารในย่าน Main Bazaar
12.30 น. เช็คเอ้าท์ นั่งรถตรงไปสนามบินเลห์ เดินทางประมาณ 20 นาที
12.50 น. เช็คอินน์กับสายการบิน Indigo โหลดสัมภาระ แล้วไปรอขึ้นเครื่อง
13.55 น. ได้เวลาอำลาเมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท 6E 6241 เหินฟ้าบินสู่สนามบินเดลี Terminal 2
ซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศของสายการบินอินดิโก้
15.10 น. บินถึงสนามบินเดลี รับสัมภาระแล้ว เดินเท้าไปยังสนามบิน อินทิราคานธี Terminal 3 ซึ่งเป็นสนามบินระหว่างประเทศแห่งกรุงนิวเดลี เดินเท้าไม่ถึง 10 นาที ถ้าใครอยากออกไปเที่ยวชมเมืองเพื่อฆ่าเวลา (มีเวลาเหลือประมาณ 5 ชั่วโมง) มีที่แนะนำ คือ
Swaminarayan Akshardham) แต่ต้องแจ้งความประสงค์ล่วงหน้า เพราะต้องติดต่อรถเช่าไว้ก่อน
21.00 เช็คอินน์ กับการบินไทย ไฟร้ท TG 316 โหลดสัมภาระ ผ่านตม.แล้วไปรอเรียกขึ้นเครื่อง
23.30 น. ได้เวลาอำลาอินเดีย บินลัดฟ้ากลับไทย ใช้เวลาบิน 4 ชม.ครึ่ง
05.26   เช้าตรู่ วันรุ่งขี้น บินถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

อัตราค่าทริป : ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในกรุ๊ป เป็นทัวร์แบบจอยกรุ๊ป 
สมาชิก 5-6 คน ค่าทัวร์คนละ 2xxxx บาท
สมาชิก 7-8 คน ค่าทัวร์คนละ 2xxxx บาท
สมาชิก 9-10 คน ค่าทัวร์คนละ 1xxxx บาท
สมาชิก 11-12 คน ค่าทัวร์คนละ 1xxxx บาท
หมายเหตุ : รับสมาชิกไม่เกิน 12 คน ถ้าจำนวนสมาชิกไม่ถึง 5 คน ขอยกเลิกทริป

อัตรานี้รวม ค่าธรรมเนียมวีซ่าอินเดีย (ทำวีซ่าแบบ E-Tourist Visa) ไม่ต้องไปโชว์ตัว
ค่าอาหารหลักวันละ 3 มื้อ รวมผลไม้ ขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม
ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัด-พระราชวัง
ค่าน้ำดื่มพกติดตัวบรรจุขวดวันละ 1 ขวดลิตรครึ่ง ตลอดการเดินทาง
ที่พัก ห้องละ 2-3 คนมีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่นอาบ (ที่พักระดับปานกลาง จะไม่หรูหรา แต่เน้นความสะอาดและปลอดภัยและสวยงามตามธรรมชาติ)
ค่ารถ นำเที่ยว ตลอดเส้นทาง รวมทั้งค่าเพอร์มิตต่างๆ
หัวหน้าทัวร์ นำทริปจากเมืองไทย 1 คน
ค่าประกันภัยการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท
อัตรานี้ไม่รวม ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ไป-กลับ กรุงเทพ-เดลี Thai Airways
  ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศของอินเดีย ไป-กลับ เดลลี-เลห์ Indigo
  ค่าทิปพนักงานขับรถ เด็กยกกระเป๋า พ่อครัว เด็กเสิร์ฟ
  ค่าขี่อูฐในทะเลทราย Sand Dune (15 นาที ประมาณ 200 บาท)
  ค่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล และขนมต่างๆที่ท่านสั่งมาทานเอง
การจองทริป โอนเงินค่าตั๋วตามราคาจริง และโอนค่ามัดจำทริปคนละ 5,000 บาท โดยเราจะเช็คค่าตั๋วเครื่องบินให้สมาชิกก่อน และให้โอนในวันจองทริป พร้อมสแกนหน้าพาสปอร์ตส่งมาทางอีเมลหรือทางไลน์ ส่วนค่าทริปที่เหลือให้จ่ายก่อนที่จะทำวีซ่า (ทำวีซ่าแบบ E-Visa) ซื่งลูกค้าไม่ต้องไปโชว์ตัวค่ะ เราจะยื่นวีซ่าออนไลน์ให้ลูกค้าเอง

 

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments