ทริปเลห์ ลาดัก อัครา อินเดีย รวม 6 วัน 5 คืน ปี 2567
(ทะเลสาบแปงกอง หุบเขานูบร้า ขี่อูฐในทะเลทราย ชมทัชมาฮาลและป้อมอัครา)
ชมความงดงามแปลกตาของเทือกเขาสีน้ำตาลแดงและเทือกเขาสีเงินที่ขึ้นเรียงรายสลับซับซ้อนนับจำนวนยอดเขาไม่ถ้วน ยอดเขาแหลมๆถูกปกคลุมไปด้วยหิม
สีขาวเหมือนสวมหมวกแก๊ป อากาศหนาวเย็นตลอดปี ชมทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์สวยงาม พาไปชิมแอ๊ปปริคอตสดๆ ที่ปลูกเรียงรายกันทั่วเมืองลาดัก ชวนสัมผัสไปวัฒนธรรมของชาวลาดัก ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับเขตปกครองตนเองทิเบต ของจีน ทั้งวัดวาอาราม พระราชวังโบราณ สถานที่ราชการ บ้านเรือน โรงแรม ตลอดจนนิสัยของชาวลาดัก ผู้คนน่ารักรักสงบ ใจเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยึดมั่นในพุทธศาสนา นับถือท่านดาไลลามะ จนลาดักได้รับสมญานามว่าเป็น “ทิเบตน้อย”  ที่นั่นแทบจะไม่เคยมีอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นกับประชาชน ชวนท่านไปสัมผัสหิมาลัยที่ปลายขอบฟ้ากับเราสิคะ 

กำหนดวันออกทริปปี 2567
***19-25 กค.67 : อากาศเย็นสบาย กลางคืนหนาว
***25-31 กค.67 : อากาศเย็น กลางคืนหนาวเล็กน้อย
***21-27 สค.67 : อากาศเย็น กลางคืนหนาวเล็กน้อย
***10-16 ตค.67 : เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี มีหิมะตกตามพาสต่างๆ
***17-23 ตค.67 : ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อากาศกลับมาหนาวเย็น ท้องฟ้าสดใส

โปรแกรมการเดินทาง

วันที่ 0 : กรุงเทพ – เดลี              
สามทุ่ม พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินน์ของการบินไทย J – H เช็คอินน์ โหลดสัมภาระ ผ่านพิธีทางตม.และผ่านเครื่องสแกน ไปรอเรียกขึ้นเครื่อง
23.15 น. เหินฟ้าสู่กรุงนิวเดลีการ กับไฟรัท TG 331 ใช้เวลาบิน 4 ชม.ครึ่ง
มีอาหารให้ทานบนเครื่อง
วันที่ 1  :  เดลี – เลห์ – ชมวัดเฮมิส – ชมเจดีย์สันติภาพ
02.15 น. ถึงสนามบินอินทิรา คานธี เดลี ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 1 ชม. 30 นาที เข้าคิว รอสแตมป์วีซ่า พร้อมกับพิธีตรวจคนเข้าเมือง แล้วออกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว รอรับสัมภาระจากสานพานพาไปแลกเงินรูปีภายในสนามบิน (สำหรับท่านที่ยังไม่ได้แลกเงินมาจากเมืองไทย)
04.00 น. เช็คอินกับสายการบินภายในประเทศ Spicejet โหลดสัมภาะ แล้วไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
05.45 น. ได้เวลาบินสู่เมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท SG-121 ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 30 นาที
07.15 น. ถึงสนามบินเลห์ กรอกเอกสารเข้าเมือง แล้วรอรับสัมภาระ แล้วพาไปขึ้นรถยนต์ที่เอเจ้นส่งมารับ เดินทางสู่ที่พักในเมืองเลห์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
08.00 น. ถึงที่พักในเมืองเลห์ เก็บสัมภาระ แล้วพาไปทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนประมาณ 5 ชม.เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพให้คุ้นชินกับความบางเบาของอากาศ จะได้ไม่เกิดอาการแพ้ความสูง
13.30 น. ตื่นมาทานมื้อเที่ยงกัน หลังจากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว เตรียมออกไปชมเมืองกัน
14.30 น. พาไปชมวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 45 กม.ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเลห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1630 ในช่วงสมัยกษัตริย์ Sengge Namgyal เป็นวัดในนิกายหมวกแดง ถือเป็นวัดที่ใหญ่และร่ำรวยที่สุดในแคว้นลาดัก ปกติวัดนี้จะจัดเทศกาลเฮมิสหรือเทศกาลหน้ากากขึ้นในวันที่ 9 และ 10 เดือน 5 ตามปฏิทินของชาวทิเบตจุดประสงค์ของการจัดงานคือต้องการระลึกถึงวันเกิดของท่าน Rinpoche หรืออีกนามหนึ่ง Padmasambhava ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธนิกายตันตระมาเผยแพร่ในทิเบต ระหว่างทางท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับใบไม้สีเหลืองทองสวยงามของต้นป๊อปล่าและต้นวิลโล่ว์ ซึ่งในเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีพาท่านเข้าไปกราบพระในวัดกัน แล้วปล่อยให้ถ่ายรูปกันประมาณ 1 ชั่วโมง
  เย็นๆ พาไปชมเจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่มีสีขาวตั้งอยู่บนยอดเขา ห่างจากเมืองเลห์ออกไป 2 กม. สร้างโดยความร่วมมือของชาวพุทธญี่ปุ่นและชาวลาดักเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพของโลก และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 เมื่อปี คศ.1985 เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพุทธศาสนา ครบ 25 ศตวรรษ เป็นจุดที่สามารถเมืองเห็นวิวเมืองเลห์ได้ 360 องศา และเป็นจุดที่มีชื่อเสียงสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเลห์ เราจะไปให้ทันชมพระอาทิตย์ตกที่ Shanti stupa กันค่ะ หลังจากพระอาทิตย์ตก พาไปทานมื้อเย็นในย่าน Main Market ในเมืองเลห์ แล้วพากลับที่พัก

วันที่ 2 : เลห์  – วัด Likir – วัด Alchi – วัด Lamayuru – Leh
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
08.00 น. พาสมาชิกเดินทางไปเมือง Ule (70 กม.จากเมืองเลห์) แวะที่ Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill เป็นสถานที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์  ถ้าจอดรถไว้ตรงจุดนั้นแล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่ารถกำลังไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา จริงๆแล้วถนนมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขาที่นี่เลยได้ชื่อว่า Magnetic Hill ลงไปถ่ายรูปกันสักพัก แล้วออกเดินทางกันต่อ รถจะวิ่งผ่าน Sangam View Point ซึ่งเป็นจุดตัดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกันในหุบเหวข้างล่าง คือแม่น้ำสินธุ (Indus river) กับแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar river) จะเห็นสีแม่น้ำเป็นตัดกันเป็นสองสีได้อย่างชัดเจนและมีภูเขาสีน้ำตาลเป็นฉากหลังที่ดูงดงามแปลกตา นั่งรถต่อไปชมวัดลิกกี้ (Likir Monastery) อยู่ห่างจากเมืองเลห์ 53 กม.ไปทางทิศตะวันตก วัดนี้มีการสร้างและตบแต่งแบบสไตล์ทิเบต เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ศต.14 และได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในศต.18 และยังเป็นโรงแรียนสอนลามะน้อยอีกด้วย เป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยะเมตไตรย์ที่มีความสูงถึง 25 เมตรประทับนั่งอยู่กลางแจ้งสามารถมองเห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล จากนั้นพาไปชมวัดอัลชิ (Alchi Gonpa) เป็นวัดใหญ่และเก่าแก่มีอายุเกือบพันปี ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศต.11 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอัลชิ และเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในลาดักที่สร้างอยู่บนที่ราบ วัดอื่นสร้างบนเนินภูเขา จุดเด่นของวัดนี้ คือด้านในมีงานศิลปะเก่าแก่ที่แกะสลักด้วยไม้และภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่ามีอายุกว่า 1000 ปี สมควรแก่เวลา ออกเดินทางกันต่อ
เที่ยง พาสมาชิกแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารที่เมือง Khalsi เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่กลางสวนแอ๊ปเปิ้ลและสวนแอ๊ปปริคอตและสวนแอ๊ปเปิ้ล
บ่ายๆ พานั่งรถต่อไปชมวัดลามายูรู (Lamayuru Monastery)
Lamayuru Monasteryเป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดในลาดัก สร้างขึ้นในศต.11 โดย Mahasiddhacharya Naropa ซึ่งเป็นปราชน์พุทธชาวอินเดีย ซึ่งเดินทางมานั่งสมาธิในถ้ำเป็นเวลาหลายปี ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน ทำให้น้ำในทะเลสาบไหลออกไปจนกลายเป็นหุบลึกที่ล้อมรอบตัวอาราม ปัจจบันเรียกว่าหุบเขา Lamayuru พอน้ำเหือดแห้ง ก็มองเห็นซากสิงโตอยู่ที่ก้นทะเลสาบ ท่านจึงสร้างอารามหลังแรกขึ้นชื่อ Singhe Ghang (Lion Mound) แต่บางตำนานกล่าวว่า วัด Lamayuru สร้างโดยกษัตริย์แห่งลาดักมาก่อนแล้วในปีศต.10 พาสมาชิกขึ้นไปไหว้พระในวัดและและถ่ายรูปรอบๆวัด มองลงไปด้านล่างเห็นหมู่บ้าน Lamayuru จากมุมสูงสวยงามแปลกตา ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์ ทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วพากลับที่พัก
15.00 น. ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์ พาไปแวะทานอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วพากลับที่พัก

วันที่  3 : Leh- Khardung La Pass – Nubra Valley – Sand Dune – Hundar 
07.00 น. ทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม แล้วเตรียมเสื้อผ้า เพื่อไปค้างคืนที่หมู่บ้าน Hundar 1 คืน สัมภาระที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรม เพราะเราจะกลับมาพักที่เดิมอีกครั้ง
08.00 น. ออกเดินทางสู่ Khardung La Pass ระยะทาง 39 กิโลเมตร ก่อนออกจากเลห์แวะซื้อน้ำดื่มและผลไม้ไว้ทานระหว่างการเดินทาง
Khardung La Pass ได้ชื่อว่าเป็นทางหลวงที่รถผ่านได้ที่สูงที่สุดในโลก คือ 5,602 m.(18,380 ฟุต) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเลห์เป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านไปสู่หุบเขานูบร้า ซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นเส้นทางของกองคาราวานที่เชื่อมต่อไปยังจีน ซึ่งทางการอินเดียสร้างเป็นทางให้รถวิ่งได้ในปีค.ศ.1988 ในฤดูหนาว Khardung La Pass จะถูกปกคลุมไปด้วยกองหิมะสูงมหึมา เพราะตั้งอยู่ที่สูงถึงระดับ 5602 เมตร ต้องนั่งรถข้ามภูเขาหลายๆลูก ระยะทางไม่ไกลมากแต่ด้วยความสูงชันและความแคบของถนนทำให้การขับรถมากยิ่งยากมากขึ้น ยิ่งตอนที่รถยนต์วิ่งสวนทางกัน ต้องหยุดรอให้รถจากด้านหนึ่งไปก่อน หรือรถด้านที่อยู่ติดภูเขาต้องถอยรถให้อีกคันผ่านไปก่อน ทำให้เสียเวลาในการเดินทางพอประมาณ แต่ความงดงามแปลกตาของวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็ทำให้ลืมความเหน็ดเหนือยจากการเดินทางไปชั่วขณะ รถจะจอดให้สมาชิกลงไปถ่ายรูปกับป้าย Khardung La Pass ทางรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก กันสัก 15 นาทีหลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ รถจะค่อยๆวิ่งไต่ระดับต่ำลงเรื่อยๆ ประมาณบ่ายแก่ๆ ถึงหมู่บ้าน North Pulu เราพักทานมื้อเที่ยงที่หมู่บ้านนี้ แล้วก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วเดินทางกันต่อ รถจะวิ่งลงสู่หุบเขานูบร้า (Nubra Valley) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 150 กม. เป็นจุดที่แม่น้ำ Shyok กับแม่น้ำ Nubra หรือ Siachen ไหลมาบรรจบกัน ทำให้เกิดหุบเขาขนาดใหญ่ แบ่งส่วนที่เป็นอาณาเขตของแคว้นลาดักกับเทือกเขา Karakoram ออกจากกันอย่างชัดเจน Nubra Valley ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาแห่งดอกไม้ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นในลาดัก มีความสูงเฉลี่ย 3000 เมตร (1 หมื่นฟุต) ซึ่งถือว่าเป็นแถบที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดในลาดัก พืชพรรณธรรมชาติจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะดอกไม้ป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติในแถบนี้ ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนดอกไม้ป่าจะพากันผลิดอกเบ่งบานสวยงามหลากหลายสายพันธุ์และสีสัน พาไปไหว้พระที่วัดดิสกิต (Diskit Gonpa) ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้ามีอายุกว่า 500 ปี เป็นวัดในนิกายเกลุกปะหรือนิกายหมวกเหลือง วัดนี้จะแบ่งออกเป็นสองแห่งตั้งอยู่อยู่ไม่ไกลกัน คือวัดวัดดิสกิตเก่า (Old Diskit Gonpa) และวัดดิสกิตใหม่ (New Diskit Gonpa) โดยวัดดิสกิตเก่าจะสร้างอยู่บนยอดเขาอยู่ติดหน้าผา ด้านหลังเป็นน้ำตกดิสกิตซึ่งอยู่สูงมากจนมองไม่เห็นจุดที่ปลายน้ำตกลงไปสู่ธารน้ำด้านล่าง แต่ได้ยินเสียงน้ำตกดังแรงมาก ส่วนวัดดิสกิตใหม่เป็นวัดที่สร้างอยู่ตรงกลางหุบเขานูบร้าและประดิษฐานองค์พระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่ มองดูสวยงามโดดเด่นเห็นแต่ไกลในหุบเขานูบร้า มองลงมาจากจุดชมวิวด้านบนของวัดดิสกิตเก่าก็สวยงามโดดเด่นไม่แพ้กันจนต้องถ่ายรูปกันรัวๆ เราจะไปที่วัดดิสกิตเก่าก่อน จุดนี้สมาชิกต้องเดินขึ้นบันไดไปสูงพอสมควร ระหว่างทางจะมีกงล้อมนตราให้เราแวะหมุนเพื่อพักไปในต้ว พอหายเหนื่อยก็เดินขึ้นบันไดไปต่อ แต่พอไปถึงด้านบนของวัด มองลงไปเห็นวิวสวยๆของหุบเขานูบร้าที่มีภูเขาสีเงินเป็นฉากหลังแล้วท่านจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
หลังจากนั้นก็เดินลงมาขึ้นรถพาไปไหว้พระและถ่ายรูปกับพระศรีอารยะเมตไตรย์องค์ใหญ่ ได้เวลาพอสมควรพาท่านเข้าที่พักที่หมู่บ้าฮุนดาร์ (Hundar) หรือหมู่บ้านธารน้ำไหล เก็บสัมภาระ แล้วดื่มชา ทานของว่างกันและผลไม้กัน
17.00 น. พานั่งรถ ประมาณ 15 นาที ออกไปขี่อูฐที่ทะเเลทราย Sand Dune 
Sand Dune เป็นทะเลทรายที่ตั้งอยู่ในหุบเขา Nubra เป็นทะเลทรายที่สูงในเขตหนาว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกนี้ เช่น ทะเลทรายอะตะกาม่าในประเทศชิลี อุณหภูมิในเวลากลางวันไม่สูงมาก แต่จะหนาวเย็นมากในเวลากลางคืน และมีหิมะตกในฤดูหนาว ที่นี่จะมีชาวบ้านนำอูฐมารับจ้างให้นักท่องเที่ยวขี่เดินเล่นและถ่ายรูปกัน อัตราค่าจ้าง 250 รูปี ต่อ 15 นาที อูฐที่นี่เป็นอูฐสองหนอก ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกนี้่ อูฐที่นี่มีเวลาทำงานคือ 9.00 – 12.00 น. แล้วมีเวลาพักกินหญ้า 3 ชั่วโมง แล้วจะเริ่มงานอีกครั้ง เวลา 15.00 – 18.00 น. ใครมาติดช่วงเวลาที่อูฐพักก็ต้องรอนะคะ ไกด์จะไปจองอูฐให้ก่อน ถ้าไปติดช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ อาจจะต้องรอคิวหน่อย ให้เวลาท่านขี่อูฐ และเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆ Sand Dune กันจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ได้ถ่ายรูปน้องอูฐกับทะเลทรายสวยๆ มีภูเขาสีเงินล้อมรอบตอนที่พระอาทิตย์กำลังตก ฟินสุดๆค่ะ ได้เวลาพอสมควร พากลับที่พัก อาบน้ำแล้วออกไปทานมื้อเย็นกันที่ห้องอาหารของโรงแรม

วันที่ 4 :  Nubra Valley – Pangong Lake – Changla Pass – Leh
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกัน ที่ห้องอาหารของที่พัก เป็นอาหารเบาๆ ประเภท ชา กาแฟ นม ไข่เจียว โรตี พุดดิ้ง โรตี
08.00 น. ได้เวลาอำลาหมู่บ้าน Hundar ออกเดินทาง ไปยังทะลสาบแปงกอง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถนนหนทางไม่ค่อยดี เนื่องจากหิมะบนยอดเขาละลายแล้วน้ำไหลกัดเซาะถนนบางช่วง รถจึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก แต่วิวระหว่างทางสวยงาม จนอาจจะเสียเวลากับการหยุดถ่ายรูปบ้าง
เที่ยงๆ ถึงทะเลสาบแปงกอง พาไปทานมื้อเที่ยงที่แคมป์ขายอาหารริมทะเลสาบ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ถ่ายรูปสวยๆกับทะเลสาบแปงกองกันตามอัธยาศัย

ทะเลสาบแปงกอง (PANGONG LAKE) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 2 ประเทศ คืออยู่ในจีน (ทิเบต) 70% และอยู่ในอินเดีย 30% (บางข้อมูลบอกว่า 1 ใน 3 ส่วนอยู่ในอินเดีย) มีเนื้อที่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร และถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม (SALT LAKE) ที่อยู่สูงที่สุดในโลกคือ ระดับ 4,267 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความยาว 40 ไมล์และกว้างถึง 2-4 ไมล์ เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงาม ในยามที่ท้องฟ้าโปร่งใสและแดดจ้า ประกอบกับมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง ทำให้น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีเขียวอมฟ้าหรือสีเทอร์คอยซ์ในตอนกลางวัน และในช่วงเย็นสีของน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในช่วงเช้าจะเป็นสีฟ้าอ่อน เป็นทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ในระดับสูง ดังนั้นสัตว์น้ำจำพวกปลากุ้งหอยจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เป็นเพียงแหล่งหากินของสัตว์ปีกบางประเภท เช่น เป็ด BRAHMINI และ ห่าน BAR-HEADED เป็นต้น ทางการอินเดียกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปชมทะเลสาบต้องทำการขออนุญาต โดยเอเย่นรถเช่าจะเป็นผู้ทำเพอร์มิตให้ นักท่องเที่ยวไม่สามารถจะเหมารถไปกันเองโดยไม่ได้ทำเพอร์มิตไปก่อน

14.00 น. ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับเมืองเลห์ แวะถ่ายรูปที่ Changla Pass ซึ่งเป็นพาสทางรถยนต์ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก สูง 5360 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล จุดนี้อากาศเบาบางและหนาวเย็นมาก ในฤดูหนาวที่ Changla Pass จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสูงเหมือนภูเขาขนาดย่อม จนรถยนต์ไม่สามารถผ่านไปได้ ดังนั้นเส้นทางนี้จะถูกบล็อคด้วยกองหิมะหนาๆสูงเป็นภูเขาหิมะ ออกเดินทางกันต่ออีก 3-4 ชั่วโมง
ค่ำๆ  : ทานอาหารเย็นกันในร้านอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วปล่อยให้เดินช๊อปปิ้งกันตามอัธยาศัย ใครเหนื่อยล้าไม่อยากช๊อปปิ้งก็กลับที่พักกันก่อนก็ได้

วันที่ 5 : เลห์ – พระราชวังเลห์ – วัดติ๊กเซ่ – เดลี – กรุงเทพ
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
07.30 น. พานั่งรถไปชมพระราชวังเลห์ (Leh Palace) เป็นพระราชวังที่ใช้การต่อสร้างยาวนานถึง 4 ยุคกษัตริย์ ตั้งแต่ยุคกษัตริย์องค์ที่ 6 Tsewang Namgyal จนแล้วเสร็จในยุคของกษัตริย์องค์ที่ 9 Sengge Namgyal ซึ่งได้รับฉายาในยุคนั้นว่าเป็น The Lion King) เพราะในช่วงที่ท่านครองราช ท่านได้ทำการสร้าง Leh palace ต่อจนเสร็จ รวมทั้งสร้าง Hemis Monastery และวัดอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก
พาไปชมวัดติ๊กเซ่ (Thiksey Monastery) อยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางใต้ 17กม. วัดนี้ตั้งอยู่บนเนิน เขาอยู่เหนือแม่น้ำสินธุ สร้างขึ้นในปีคศ.1430 เป็นวัดในนิกาย Gelugpa หรือนิกายหมวกเหลือง คำว่า”เกลุก” แปลว่าความดีที่เป็นกุศล ท่านดาไลลามะองค์ที่ 14 และองค์ปันเซนลามะก็เป็นพระในนิกายหมวกเหลืองเช่นกัน วัดนี้มีลักษณะคล้ายพระราชวังโปตาลาในทิเบต
10.30 น. เช็คเอ้าท์ นั่งรถตรงไปสนามบินเลห์
11.30 น. เช็คอินน์กับสายการบิน Spicejet โหลดสัมภาระ ทานมื้อเที่ยงที่สนามบินเลห์ แล้วไปรอขึ้นเครื่อง (มื้อนี้จ่ายกันเองนะคะ)
12.20 น. ได้เวลาอำลาเมืองเลห์ ด้วยไฟร้ท SG-124 เหินฟ้าบินสู่สนามบินเดลี
13.45 น. ถึงสนามบินภายในประเทศนิวเดลี รับสัมภาระแล้วแล้วพาขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคล เดินทางไปเมืองอัครา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
18.00 น. โดยประมาณ ถึงเมืองอัครา พาไปเช็คอินที่โรงแรมใกล้ๆทัชมาฮาล เก็บสัมภาระ แล้วออกไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในเมืองอัครา หลังจากนั้นพากลับโรงแรม

วันที่ 6 :  ชมทัชมาฮาล ป้อมอัครา นั่งรถกลับนิวเดลี บินกลับกรุงเทพ
05.30 น. พาไปชมทัชมาฮาลตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น เช้าๆอากาศกำลังเย็นสบาย ให้เวลาสมาชิกเดินชมพร้อมถ่ายรูปประมาณ 2 ชั่วโมง
07.30 น. พากลับโรงแรม ทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
09.00 น. นั่งรถประมาณ 20 นาทีจากโรงแรม พาไปชมป้อมอัครา
11.30 น. พากลับโรงแรม อาบน้ำแต่งตัว แล้ว เช็คเอ้า
12.30 น. พาไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารในเมืองอัครา
14.00 น. นั่งรถกลับกรุงนิวเดลี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ถ้ารถไม่ติดจะพาแวะชมประตูชัยแห่งเมืองเดลี อินเดีย
18.30 น. ถึงสนามบินอินทิรา คานที นิวเดลี พอไปรอเช็คอินที่ห้องพักผู้โดยสารขาออก ให้หามื้อเย็นทานกันในสนามบิน มื้อนี้จ่ายกันเองนะคะ
21.00 น. เช็คอินกับการบินไทย โหลดสัมภาระ ผ่านตม.แล้วไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
23.30 น. ได้เวลาบินกลับเมืองไทยกับไฟร้ท TG 316 ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 25 นาที

วันที่ 7 :  05.25 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมโดยสวัสดิภาพ

Taj Mahal และเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องให้สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 7 ของโลก และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ แสดงถึงความรักของกษัตริย์ชาจาร์ฮาลที่มีต่อพระมเหสีของพระองค์ที่มีพระนามว่าพระนางมุมตัสมาฮาล ซึ่งสวรรคตจากการให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 ภายในทัชมาฮาลมีโลงพระศพจำลองของพระนางมุมตัสและกษัตริย์ชาจาร์ฮาลทำจากหินอ่อนประดับประดาด้วยพลอยชนิดต่างๆและหินอัญมณีสีสวยงามวางไว้เคียงคู่กันให้ประชาชนได้ชม (ส่วนโลงพระศพจริงๆวางอยู่ชั้นใต้ดินที่ประตูทางเข้า) ที่นีมีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างใหญ่ มีทางเข้าถึง 4 เกท บริเวณรอบๆปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้อย่างงดงามและมีบรรยากาศที่ร่มรื่นเต็มไปด้วยฝูงนกแก้วและกระรอก ด้านหลังเป็นแม่น้ำยมุนา มองไปเห็นป้อม อัคราโดดเด่นอยู่ที่โค้งแม่น้ำ เราจะให้เวลาสมาชิกถ่ายรูปเดินชมทัชมาฮาลอย่างเต็มอิ่มAgra Fort หรือป้อมอัคราเป็นพระราชวังใหญ่โตสีแดงโดดเด่น ล้อมรอบด้วยกำแพงสองชั้นล้อมรอบอาคารทางเข้าทั้งสี่ทิศ ภายในเป็นมัสยิดและสวนดอกไม้และสนามหญ้าสีเขียวมีอาคารหินทรายสีแดง สร้างโดยกษัตริย์ อัคบา ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 3 ยุคของด้วยกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลและกลายเป็นสถานที่คุมขังกษัตริย์ชาจาร์ฮาล โดยน้ำมือพระโอรสของพระองค์เอง ป้อมอัคราได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ ในปี คศ.1983 พาท่านเดินชมความงดงามทางสถาปัตยกรรมต่างๆภายในป้อม ให้สมาชิกเดินชมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วพาออกมาด้านนอกป้อม ให้สมาชิกได้ช๊อปปิ้งซื้อสินค้าที่ระลึกกัน
——————————————————————————————————————–

รับจำนวนจำกัด 12 คนต่อทริปเท่านั้น(ใช้รถยนต์ Tempo คันใหญ่)
หมายเหตุ * ถ้ามีกรุ๊ปส่วนตัว 5 ท่านขึ้นไป  สามารถกำหนดวันเดินทางได้เอง
อัตราค่าทัวร์ : เป็นทัวร์แบบจอยกรุ๊ป ค่าทัวร์ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในกรุ๊ป
คนละ 32500 บาท สำหรับกรุ๊ป 5-6 คน
คนละ 28000 บาท สำหรับกรุ๊ป 7-8คน
คนละ 27000 บาท สำหรับกรุ๊ป 9-10 คน
คนละ 25600 บาท สำหรับกรุ๊ป 11-12คน

อัตรานี้รวม
* ค่าธรรมเนียมวีซ่าอินเดีย (ทำวีซ่าแบบ E-Tourist Visa) ไม่ต้องไปโชว์ตัว
* ค่าหารหลักวันละ 3 มื้อ รวมชา กาแฟ ขนมขบเคี้ยวและผลไม้
* ค่าน้ำดื่มบรรจุขวดวันละ 1 ขวดลิตร ตลอดการเดินทาง
* ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัด-พระราชวัง
* ค่ารถพาเที่ยว ตลอดเส้นทาง พร้อมคนขับที่มีประสบการณ์สูง
* ที่พัก ห้องละ 2 คนมีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่นอาบ (ที่พักระดับปานกลาง ไม่หรูหรา เน้นธรรมชาติ         สะอาดและปลอดภัย)
* ค่าจ้างหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย 1 คน
* ค่าประกันภัยการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท
อัตรานี้ไม่รวม
* ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศไป-กลับ กรุงเทพ-เดลลี ราคาตอนนี้ ตั๋วการบินไทย 144xx บาท
* ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ ไป-กลับ เดลลี-เลห์ สายการบิน Spicejet ค่าตั๋วตอนนี้ 87xx บาท    ณ วันที่ 19 มิย.2566
* ค่าขี่อูฐ ที่ทะเลทราย Sand Dune ในหุบเขานูบร้า (ค่าขี่อูฐ 15 นาที ประมาณ 180 บาท)
* ค่าทิปพนักงานขับรถ เด็กเสิร์พ เด็กยกกระเป๋า พ่อครัว (เป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ลงขันให้ก็ได้ค่ะ)
* ค่าอาหารสองมื้อที่สนามบิน ใช้สมาชิกเลือกทานกันเองและจ่ายกันองนะคะ
* ค่าน้ำอัดลม ชา กาแฟ และขนมขบเคี้ยวต่างๆที่ท่านสั่งทานเอง
* ค่ากล้องถ่ายรูป และกล้องถ่ายวีดิโอ (ตามวัดและอารามต่างๆ บางที่ถ้านำกล้องถ่ายรูปเข้าไปต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม)
หมายเหตุ : เนื่องจากตั๋วเครืองบินทั้งตั๋ว Inter และตั๋วภายในประเทศอินเดียมีการปรับราคาขึ้นตลอดเวลา ถ้าจองก่อนจะได้ราคาถูกกว่ามาก
การจองทริป
โอนเงินค่าตั๋วเครื่องบินเต็มราคา เราจะเช็คค่าตั๋วให้สมาชิกก่อนที่จะแจ้งให้โอนเงิน พร้อมถ่ายหน้าพาสปอร์ตส่งมาทางไลน์ ส่วนค่าทริปให้โอนในวันที่ส่งเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าออนไลน์และทำประกันภัยการเดินทางก่อนออกทริป 2 สัปดาห์ พร้อมกับส่งรูปถ่ายสำหรับยื่นวีซ่าอินเดียมาทางไลน์  (ขนาด 2×2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว (เราจะทำวีซ่าแบบออนไลน์แบบ E-Tourist Visa ให้สมาชิกเอง)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ : ศิริพร : 098-2725406, 092-4341166   Line Id : ssp061962
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเลขที่ 11/11792

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments