EASY ON TOUR by Siriporn
               ทัวร์แคชเมียร์ ศรีนาคา เลห์ ลาดัก รวม 8 วัน 7 คืน
ทริปนี้เราเคยจัดมา 15 ครั้งแล้ว เราขอใช้ประสบการณ์ที่มีเสนอตัวรับใช้เพื่อนๆ นักเดินทางที่ชอบการท่องเที่ยวแบบสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาอย่างใกล้ชิดต่อไปนะคะ ชวนไปสัมผัสสวรรค์บนดิน ณ ดินแดนแคชเมียร์ และชวนไปท่องดินแดนหิมาลัยสูงสุดขอบฟ้าอันไกลโพ้น น่าค้นหา สัมผัสกับวัฒนธรรมเก่าแก่ ผู้คนยึดมั่นในพุทธศาสนา เชิญมาร่วมเดินทางไปค้นหาขอบฟ้าหิมาลัยกับเราสิคะ
โปรแกรมทัวร์ ปี 2568  กำลังเปิดรับค่ะ
8 – 15 ตค.68 (วันคลายวันสวรรคตในหลวง ร.9) เริ่มต้นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อากาศเริ่มกลับมาหนาวเย็น มีหิมะตกตามพาสต่างๆ
หมายเหตุกรุณาจองทริปมาล่วงหน้า อย่างน้อย 3 เดือนนะคะ เพราะถ้าจองเข้ามาช้าตั๋วเครื่องบินจะปรับราคาแพงสูงขึ้นมาก
โปรแกรมการเดินทาง

วันแรก : กรุงเทพ – เดลี

21.00 น.

พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินไทย แล้วพาไปเช็คอิน โหลดสัมภาระ ผ่านพิธีทางตม. ไปรอขึ้นเครื่อง 

 23.15 น.

บินไปนิวเดลีโดย เที่ยวบินที่ TG331 (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงครึ่ง) นอนหลับพักผ่อนตามอัธยาศัย  

วันที่ 2 : เดลี – ศรีนาคา – ชมสวนดอกไม้โมกุล – พักบ้านเรือกลางทะเลสาบ
02.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 1 ชม. 30 นาที เดินทางถึงสนามบิน อินธิรา คานธี พาไปเข้าคิว เตรียมสแตมป์วีซ่า ผ่านตม. แล้วออกมาเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็รับสัมภาระจากสายพาน
03.00 น. พาเดินเท้าประมาณ 10 นาทีไปยังสนามบินภายในประเทศ Terminal 1D พาไปพาไปรอเช็คอินกับสายการบิน Indigo 
05.25 น.

ได้เวลาบินไปเมืองศรีนาคา ด้วยไฟร้ท 6E 2607 ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที

06.50 น.

ถึงสนามบินศรีนาคา รับสัมภาระ กรอกเอกสารเข้าเมือง แล้วพาไปขึ้นรถยนต์ที่เอเจ้นส่งมารับ เดินทางสู่ที่พักกลางทะเลสาบดาล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที แล้วขนสัมภาระลงเรือชิคาร่า นั่งเรือประมาณ 10 นาทีไปที่พัก แล้วแยกย้ายกันเข้าห้อง อาบน้ำแต่งตัว แล้วออกมาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของบ้านเรือ

09.00 น.

นั่งเรือชิคาร่าไปท่าเรือ แล้วนั่งรถไปชมสวนโมกุลแห่งเมืองศรีนาคา
สวนนิชาท (Nishat Gargen) ตั้งอยู่ตรงข้ามกับทะเลสาบดาล มีภูเขา Zabarwan เป็นฉากหลัง เป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในศรีนาคา มีต้นเมเปิ้ลขนาดใหญ่ที่มีอายุกว่า 400 ปีอยู่หลายต้น และต้นป้อปลาร์ และมีดอกไม้เมืองหนาวตามฤดูกาลหลายชนิด
สวนชาลิมาร์ (Shalimar Garden) สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิจาฮันจีร์ (Jehangir) ในสมัยราชวงศ์โมกุล เพื่อพระมเหสีเนอร์ เจฮัน (Nur Jehan) อันเป็นที่รักและใช้เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย ได้ชื่อว่าเป็นสวนแห่งความรัก สวนนี้กว้าง 539 เมตร ยาว 182 เมตร มีพื้นที่สำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ ภายในสวนมีไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงามหลากหลายสายพันธ์ุ มีบันไดทอดผ่านไปยังเนินด้านบนซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำพุที่เกิดจากแรงดันน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากภูเขาหิมะด้านหลัง

เที่ยง พาไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารหน้าสวนดอกไม้
บ่าย

พาไปชมวัดฮินดูบนเขา เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างอุทิศแด่พระศิวะ รู้จักกันในชื่อ The Temple of Jyeshteswara (Shankaracharya) สร้างเมื่อ 220 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถานที่ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในเมืองศรีนาคา ก่อนเข้าไปในบริเวณวัดจะมีการตรวจอาวุธและห้ามนำกล้องถ่ายรูปขึ้นไป  ระหว่างลงจากเขา รถจะจอดให้เราแวะถ่ายรูป และชมวิวเมืองศรีนาคาจากบนเขา เราสามารถมองเห็นป้อมปราการบนเขาและบ้านเรือ (Houseboat) กลางทะเลสาบดาล (Dal Lake) ได้อย่างชัดเจน

เย็นๆ

พานั่งเรือชิคาร่าเข้าที่พัก ถ้าใครอยากจะช้อปปิ้งซื้อสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดนัดหน้าท่าเรือก็เชิญตามอัธยาศัย   

19.00 น.

ทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ห้องอาหารของบ้านเรือ

 

วันที่ 3 : ศรีนาคา – พาฮัลแกม – บ้านเรือ
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่ห้องอาหารบ้านเรือ
08.00 น. ขึ้นรถยนต์ส่วนตัวเดินทางสู่เมือง Pahalgam หรือหุบเขาแกะ ตั้งอยู่ระดับสูง 2740 ม. เหนือระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากเมืองศรีนาคา 90 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ
สายๆ ไปถึง Pahalgam พาท่านขี่ม้าไป ณ จุดชมวิว Baisaran ซึ่งอยู่ในหุบเขา ล้อมรอบด้วยทิวสนสลับซับซ้อนสวยงามเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์บอลลีวูดของอินเดียหลายเรื่อง ระหว่างทางท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามรอบข้างถ่ายรูปกับหุบเขาที่สวยงามล้อมรอบด้วยทิวสนและมียอดเขาหิมะเป็นฉากหลัง มีฝูงแพะและแกะที่ชาวบ้านพามาเลี้ยงให้กินหญ้าอยู่เต็มหุบเขา ถ่ายรูปกันให้จุใจ ได้เวลาอันสมควร ขี่ม้ากลับลงมาด้านล่าง เดินเล่นชิวๆกับวิวสวยๆของหุบเขาที่มีสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำริดเดอร์ที่พาฮัลแกม ช๊อปปิ้งสินค้าเมืองหนาว มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของใช้ ผลไม้อบแห้งและของที่ระลึกหลากหลาย
ค่าขี่ม้าจ่ายกันเองนะคะ ประมาณ 800-1000 บาท ใช้เวลาไป-กลับประมาณ 2 ชม.
เที่ยงๆ ทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารในเมือง Pahalgam
บ่ายๆ พานั่งรถกลับศรีนาคา พานั่งเรือชิคาร่าเข้าบ้านเรือ
ค่ำๆ พานั่งเรือชิคาร่า ชมวิวรอบทะเลสาบ มีร้านค้ามากมายอยู่กลางทะเลสาบดาล ขายผ้าพาสมิน่า แจ็คเก็ตกันหนาวสวย กระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ และขายของที่ระลึกอีกมากมาย ใครต้องการจะแวะร้านไหนก็แจ้งคนพายเรือได้นะคะ

วันที่ 4 : ศรีนาคา-โซนามาร์ค-คาร์กิล
07.00 น. ทานมื้อเช้าพร้อมกันที่่ห้องอาหารของบ้านเรือ วันนี้เราจะต้องอำลาบ้านเรือกันแล้วนะคะ ก่อนอำลาบ้านเรือ ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกกัน
08.00 น. นั่งเรือชิคาร่าสู่ท่าเรือ แล้วนั่งรถยนต์ส่วนตัว เดินทางสู่เมืองคาร์กิล ระหว่างทางเราจะแวะโซนามาร์ค ให้ท่านได้ขี่ม้าไปชมธารน้ำแข็ง (Glacier) แล้วปล่อยให้ถ่ายรูปกับวิวสวยๆที่ Sonamarg กันสักพัก หมายเหตุ : ค่าขี่ม้าจ่ายกันเองนะคะ ราคาแล้วแต่จะต่อรอง ประมาณ 600-700 บาท ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง
Sonamarg เมืองที่ได้ชื่อว่า เป็นประตูสู่ลาดัก (Gateway to Ladakh) ตั้งอยู่ในหุบเขาซิน (Sindh) อยู่ห่างจากเมืองศรีนาคา 80 กม.นั่งรถประมาณ 2 ชม.เศษ เป็นจุดชมวิวที่มีน้ำตกและลำธารที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งบนยอดเขาหิมะ ล้อมรอบด้วยทิวสนสลับซับซ้อนเขียวขจีสวยงาม แต่ในช่วงฤดูหนาว (พย.- มีค.) ที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน และเส้นทางรถยนต์จะถูกบล็อกด้วยกองหิมะมหึมา ตัดขาดการสัญจรไป-มา ระหว่างเมืองเลห์กับเมืองศรีนาคา
เที่ยง ทานมื้อเที่ยงที่ภัตตาคารที่โซนามาร์ค
บ่ายๆ นั่งรถไปเมืองคาร์กิล ให้สมาชิกแวะถ่ายรูปกับวิวภูเขาหิมะสวยๆระหว่างทาง
เย็นๆ ถึงเมืองคาร์กิล พาไปเช็คอินที่โรงแรม แล้วออกมาทานมิ้อเย็นพร้อมกันที่ร้านอาหารในเมืองคาร์กิล หลังจากนั้นก็พาสมาชิกเดินชมเมือง ช้อปปิ้งกัน
Kargil เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของลาดัก ถือว่าเป็นประตูสู่เลห์ เป็นเมืองที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ สังเกตุได้จากการที่สตรีจะมีผ้าคลุมศีรษะอยู่ทุกคน
ระหว่างทางไปเมืองคาร์กิล เราจะผ่านเมือง Dras ซึ่งเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีอากาศหนาวเย็นที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกที่มีประชากรอาศัยอยู่ สัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็นยะเยือก

วันที่ 5 : คาร์กิล – วัดลามายูรู–วัดอัลชิ–วัดลิกกี้ – พระราชวังเลห์-เจดีย์สันติภาพ 
07.00 น. ทานมื้อเช้ากันที่ร้านอาหารในคาร์กิล
07.00 น. อำลาคาร์กิลมุ่งหน้าสู่เมืองเลห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของลาดัก เราจะแวะนมัสการพระศรีอริยะเมตไตรย์ที่ Mulbekh Monastery ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนแกะสลักบนหน้าผาของภูเขาหินมีอายุกว่าพันปี (The statue of Maitreya Buddha) ตั้งอยู่ริมถนนเป็นทางผ่านสู่เมืองเลห์ ให้ท่านได้ลงไปไหว้พระ ถ่ายรูป แล้วเดินทางกันต่อ ผ่าน Fortula top ซึ่งเป็นจุดสูงสุดทางรถเส้นศรีนาคา-เลห์ (สูงจากระดับน้ำทะเล 4118 ม.) จากนั้นรถจะวิ่งผ่านหุบเขา Lamayuru หรือ Moon Land  ซึ่งเป็นหุบเขาที่มีรูปร่างแปลกตา คล้ายพื้นผิวของพระจันทร์ เลยได้รับสมญานามว่าเป็น “ดินแดนแห่งหุบเขาโลกพระจันทร์” จอดให้สมาชิกลงไปถ่ายรูป แล้วเดินทางไปชมวัดลามายูรูกัน
Lamayuru Monastery เป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดในลาดัก สร้างขึ้นใน ศต.11 โดย Mahasiddhacharya Naropa ซึ่งเป็นปราชน์พุทธชาวอินเดีย บ้างก็กล่าวว่าวัดนี้สร้างโดยกษัตริย์แห่งลาดักก่อนแล้วในศตวรรษที่ 10
เที่ยง แวะทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารที่เมือง Khalsi ซึ่งเป็นร้านอาหารอยู่ในสวนแอ๊ปเปิี้ลและแอ๊ปปริคอต ร้านนี้บรรยกาศดีมาก อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย
13.30 น. ได้เวลาพอสมควรก็ออกเดินทางกันต่อ ระหว่างทางแวะชมวัดอัลชิ หรือ Alchi Gompa ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุเกือบพันปี ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอัลชิ เป็นวัดเพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนภูเขาเหมือนวัดอื่นในลาดัก จุดเด่นของวัดนี้คือด้านในมีงานศิลปะแกะสลักด้วยไม้และภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า วัดสุดท้ายที่จะแวะชมในวันนี้คือ วัด Likir เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และยังเป็นโรงแรียนสอนลามะน้อยอีกด้วย วัดนี้มีพระพุทธรูปพระศรีอริยะเมตไตรย์สูงถึง 25 เมตร ประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง สามารถมองเห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล
16.00 น. เราน่าไปถึงเมืองเลห์ เข้าที่พัก เก็บสัมภาระ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นกันก่อนหลังจากเดินทางไกลมาทั้งวัน แล้วพาไปเที่ยวในเมืองเลห์กันต่อ

16.00 น. พาไปชมพระราชวังเลห์ (Leh Palace) ซึ่งอยู่ตรงกลางเมืองเลห์ แล้วนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ตกที่เจดีย์สันติภาพ Shanti Stupa ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่โต สร้างอยู่บนเนินเขาสูง สร้างโดยชาวญี่ปุ่นเพื่อเป็นการประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพของโลก โดยมีองค์ดาไล ลามะเสด็จมาทำพิธีเปิดเมื่อปี 1985 และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามแห่งเมืองเลห์และสามารถมองเห็นตัวเมืองเลห์จากมุมสูงได้ชัดเจน ในฤดูร้อนพระอาทิตย์ที่เลห์จะตกช้า เกือบสองทุ่ม
19.00 น พาไปทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารในเมืองเลห์ แล้วพากันกลับที่พัก ใครจะช๊อปปิ้งกันต่อก็ตามอัธยาศัยนะคะ เดินกลับโรงแรมกันเองได้ค่ะ

วันที่ 6 : Leh – Khardung La Pass – Nubra Valley – Sand Dune – Hundar Village
เช้า หลังอาหารเช้า ออกเดินทางสู่หุบเขา Nubra นั่งรถประมาณ ชั่วโมง ก่อนออกจากเมืองเลห์ จะแวะซื้อน้ำดื่มและผลไม้ที่ตลาดในเมืองไว้ทานในรถ แวะถ่ายรูปที่ Khardung La Pass ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของทางหลวงที่รถยนต์ผ่านได้ สูง 5,602 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เที่ยง แวะทานมื้อเที่ยงที่หมู่บ้าน North Pulu หลังจากนั้นเดินทางกันต่อ
***ชมวัด Diskit เก่า เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้า
***ชมพระศรีอาริยะเมตไตรองค์ใหญ่แห่งหุบเขานูบร้าที่ วัดดิสกิตใหม่ (New Diskit) หลังจากนั้นพาไปเช็คอินที่เกสเฮ้าในหมู่บ้าน Hundar เก็บสัมภาระ แล้วออกมานั่งรับลมเย็นๆ ทานชา กาแฟ ของว่างกันก่อน
Hundar Village ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านธารน้ำไหล เพราะบ้านทุกหลังจะขุดลำธารให้น้ำซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขาไหลผ่าน ได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเจน
17.00 น. นั่งรถประมาณ20 นาทีไป Sand Dune ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ตั้งอยู่ในหุบเขา Nubra เป็นทะเลทรายบนที่สูงในเขตหนาว ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในโลกเช่น ทะเลทรายอะตะกามาในชิลี อุณหภูมิในเวลากลางวันไม่สูงมาก แต่จะหนาวเย็นมากในเวลากลางคืนและมีหิมะตกในฤดูหนาว จะมีชาวบ้านนำอูฐมาบริการให้นักท่องเที่ยวขี่เดินเล่นกัน และถ่ายรูปอัตราค่าจ้าง 200 รูปี (90 บาท) ต่อ15 นาที (ค่าขี่อูฐจ่ายกันเองนะคะ)
ได้เวลาพอสมควร พานั่งรถกลับที่พัก อาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นกัน
19.00 น. ทานมื้อเย็นด้วยกันที่ห้องอาหารของเกสเฮ้าท์ แล้วเชิญพักผ่อนตามอัธยาศัย


วันที่ 7 : หมู่บ้านฮุนด้า – ทะเลสาบแปงกอง – ชางลาพาส – เลห์
เช้า หลังอาหารเช้า อำลาหมู่บ้านฮุนด้า ออกเดินทางไปยังทะลสาบแปงกอง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงเศษ เนื่องจากถนนหนทางไม่ค่อยดี บางช่วงขรุขระ เกิดจากการกัดเซาะของหิมะที่ละลายในฤดูร้อน รถจึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก แต่วิวระหว่างทางสวยจนต้องหยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ
เที่ยง แวะทานมื้อเที่ยงที่แค้มป์ระหว่างทาง ก่อนถึงทะเลสาบแปงกอง
บ่าย ถึงทะเลสาบแปงกอง (Pangong Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยค่อนไปทางเค็มที่อยู่สูงที่สุดในอินเดีย ให้สมาชิกได้ใช้เวลาถ่ายรูปสวยๆกับทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์ที่มีฉากหลังเป็นยอดเขาสีดินแดงที่ฉาบด้วยหิมะสีขาวบนยอด ดูสวยงามแปลกตา
บ่ายแก่ๆ  พานั่งรถกลับเมืองเลห์ แวะถ่ายรูปที่ Changla Pass ซึ่งเป็นพาสทางรถยนต์ที่สูงเป็นอันดับ ของโลก สูง 5360 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เย็น  : ถึงเมืองเลห์ พาไปทานมื้อเย็นกันในร้านอาหารในย่าน Main Bazaar แล้วปล่อยให้เดินช๊อปปิ้งกันตามอัธยาศัย วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เลห์แล้วนะคะ ใครไม่อยากช๊อปปิ้งจะเดินกลับที่พักก่อนก็ได้

วันที่ 8 : เลห์ – เดลี – กรุงเทพ
07.00 น. ทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
07.30 น. นั่งรถประมาณ ชั่วโมงครึ่ง พาไปชมวัด Hemis เป็นวัดที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากของลาดัก หลังจากนั้นส่งท้ายด้วยการไปชมวัด Thiksey เป็นวัดในนิกายหมวกเหลืองที่โดดเด่นสวยงาม มีลักษณะคล้ายๆพระเราชวังโปตาลาในทิเบต
11.30 น. พาไปทานมื้อเที่ยงในร้านอาหารในย่าน Main Bazaar
12.30 น. เช็คเอ้าท์ นั่งรถไปสนามบินเลห์ ประมาณ 20 นาที
เช็คอินกับสายการบิน 
Indigo โหลดสัมภาระ แล้วไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
13.55 น. ได้เวลาบินไปเดลีด้วยไฟร้ท 6E 2402 ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที
15.20 น. ถึงสนามบินภายในประเทศเมืองนิวเดลี Terminal 1 รับสัมภาระ พาเดินเท้าไปยังสนามบินระหว่างประเทศ อินทิรา คานที Terminal 3 อาคารผู้โดยสารขาออก เพื่อเตรียมต่อเครื่องกลับเมืองไทย
ใครหิวก็หามื้อเย็นในสนามบินทานกันเองนะคะ ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน จึงยังไม่สามารถเข้าไปทานในร้านอาหารข้างในได้ แต่มีร้านคอฟฟี่ช็อปและร้านเบเคอรี่ขายแซนวิช ขนมปัง ชา กาแฟให้ทานรองท้องกันก่อน
21.00 น. เช็คอินน์กับบินไทยโหลดสัมภาระขึ้นเครื่อง  หลังจากนั้นพาไปขึ้นเครื่องที่เกท
23.30 น. ได้เวลาบินกลับประเทศไทย ด้วยไฟร้ท TG 316 ใช้เวลาบิน 4 ชม.25 นาที
วันที่ 9 : เช้าตรู่ 05.25 .เดินทางถึงสนามบินสุรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

อัตราค่าทริป เป็นทัวร์แบบจอยกรุ๊ป ค่าทริปขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิก 
สมาชิก 5 คน ค่าทริปคนละ 37600 บาท
สมาชิก 7 คน ค่าทริปคนละ 34600 บาท
สมาชิก 8 คน ค่าทริปคนละ 33200 บาท
สมาชิก 9 คน ค่าทริปคนละ 31300 บาท
สมาชิก 10 คน ค่าทริปคนละ 30300 บาท
สมาชิก 11 คน ค่าทริปคนละ 29200 บาท
สมาชิก 12 คน ค่าทริปคนละ 28600 บาท

หมายเหตุ :
***รับสมาชิกจำกัดแค่ 12 คนต่อกรุ๊ปเท่านั้น
***ถ้ามีกรุ๊ปส่วนต้ว 5 คนขึ้นไป สามารถกำหนดวันเดินทางเองได้
***สมาชิกต่ำกว่า 5 คน ขอยกเลิกการออกทริป
อัตรานี้รวม
* ค่าวีซ่าอินเดีย (ทำวีซ่าออนไลน์)
* ค่าอาหารหลัก 3 มื้อ น้ำดื่ม รวมชา กาแฟ ขนมขบเคี้ยวและผลไม้
* ค่าธรรมเนียมเข้าชมสวนดอกไม้ต่างๆ วัด-พระราชวังโบราณ สุสาน ป้อมปราการต่างๆ
* ค่าน้ำดื่มบรรจุขวด วันละ 1 ขวดลิตร ตลอดการเดินทาง
* ที่พักรวม 7 คืน (ที่อัครา 1 ที่บ้านเรือ 2 คีน คาร์กิล 1 คืน ที่เลห์ 2 คืน และที่หมู่บ้านฮุนด้า 1 คืน)
ห้องละ 2-3 คน มีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่นอาบ
หมายเหตุ : ที่พักระดับปานกลาง จะไม่หรูหรา แต่เน้นความสะอาดและปลอดภัยและวิวธรรมชาติ
* ค่ารถพาเที่ยว ทั้งโปรแกรม
* ค่าจ้างผู้นำทริปจากเมืองไทย 1 คน
* ค่าประกันภัยการเดินทาง วงเงิน 1 ล้านบาท (เป็นประกันภัยกลุ่ม)
อัตรานี้ไม่รวม
*ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ (การบินไทย) และตั๋วภายในประเทศ (อินดิโก้ แอร์ไลน์)
หมายเหตุค่าตั๋ว 4 ไฟร้ท เช็คราคาตอนนี้ประมาณ 2xxxx บาท ถ้าสมาชิกจองทริปมาช้า
ค่าตั๋วอาจจะปรับสูงขึ้นมากกว่านี้
* ค่าทิป ไกด์ พนักงานขับรถ เด็กยกกระเป๋า พ่อบ้าน
* ค่าขี่ม้า ขี่อูฐ และค่ารถที่พาไปเที่ยวนอกสถานที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโปรแกรมทัวร์
* ค่าน้ำอัดลม ค่าน้ำผลไม้ ไอศรีมและขนมต่างๆที่ท่านสั่งทานเอง
การจองทริป
โอนค่าตั๋วเครื่องบิน ทั้งสี่ไฟร้ท (ไป-กลับ-กรุงเทพ) เดลี และตั๋วภายในประเทศอินเดีย 2 ไฟร้ท (Delhi-Srinagar) และ (Leh-Delhi)
พร้อมค่ามัดจำทัวร์ท่านละ 5000 บาท ที่เหลือชำระวันที่ยื่นวีซ่าออนไลน์ ก่อนเดินทางครึ่งเดือนหมายเหตุ : เราจะเช็คค่าตั๋วก่อนแจ้งให้โอนเงินนะคะ
สอบถามรายละเอียดเพื่มเติม ติดต่อ ศิริพร : 098-2725406, 092-4341166
ไลน์ ไอดี : ssp061962
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ 11/11792
หมายเหตุทริปนี้ค่อนข้างสมบุกสมบัน นั่งรถไกลและนาน เวลาอาจจะคลาดเคลื่อนจากที่กำหนดไว้ บางวันต้องทานมื้อเที่ยงตอนบ่ายสองบ้าง ท่านที่รักความสะดวกสบายและต้องทานอาหารเป็นเวลา กรุณางดร่วมทริป หรือท่านมีปัญหาสุขภาพ กรุณาโทรมาปรึกษาก่อนตัดสินใจ
จองทริปนะคะ

 

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments